ASTVผู้จัดการรายวัน - "ประสาร" เปลี่ยนแผนกระทันหัน ล้มนัดนายแบงก์ อ้างต้องรอนโยบาย "กิตติรัตน์" ก่อนสรุปอัตราใหม่เงินนำส่งกองทุนฟื้นฟู ด้าน รมว.คลังเสนอ 5 แนวทางแต่ยังอุบไต๋ ก่อนพลิ้วปัดข้อเสนอเก็บค่าต๋งแบงก์รัฐ แต่จะให้เลิกแข่งขันปล่อยกู้รายใหญ่กับแบงก์เอกชน
จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกนัดกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการสรุปค่านำส่งในอัตราใหม่เพื่อใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูตาม พ.ร.ก.โอนหนี้ฯ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อ้างว่า สาเหตุที่ยกเลิกการประชุมฯ เพราะ ธปท.ควรจะหารือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองรัฐมนตรีและ รมว.คลังก่อน เพื่อจะได้รับฟังแนวทางของทางคลังก่อนค่อยมาหารือกับธนาคารพาณิชย์อีกครั้ง
"เราควรจะมีการหารือกับรมว.คลังก่อนไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ คิดว่าทางคลังท่านก็จะมีแนวทางของท่านมาร่วมเสนอด้วย" นายประสารกล่าว
ก่อนหน้านี้ ธปท.เตรียมเสนออัตราค่านำส่ง 2 แนวทาง คือ 1.การเก็บเงินนำส่งจากฐานเงินฝาก 7.7 ล้านล้านบาท และตั๋วแลกเงิน หรือ บีอี 2 ล้านล้านบาท รวม 9.7 ล้านล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ โดยเก็บในอัตราคงที่ ร้อยละ 0.55-0.60 2.เก็บในอัตราขั้นบันได จากมากไปหาน้อยแต่ไม่เกิน 0.60% จากปัจจุบันที่เก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์ในอัตรา 0.4% เข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
*** "กิตติรัตน์" อุบไต๋ค่าต๋งแบงก์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุว่า ได้เตรียม 5 แนวทางไว้ที่จะหารือร่วมกับนายประสาร แต่รายละเอียดของทั้ง 5 แนวทางคงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เพราะเป็นความลับระหว่างผู้ว่าฯ ธปท.กับ รมว.คลัง โดยขอให้มีการปรึกษาหารือร่วมกันก่อน ส่วนผลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับข้อมูล
ส่วนที่มีการรายงานข่าวว่าจะมีการเสนอให้ธนาคารพาณิชย์เลือกวิธีการจัดส่งค่าธรรมเนียมเพื่อนำไปใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ใน 2 แนวทางนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ตนมีทั้งหมด 5 แนวทาง มากกว่าที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว
สำหรับข้อเสนอจัดเก็บเงินนำส่งจากธนาคารของรัฐ นายกิตติรัตน์เลี่ยงว่า ตนเองพร้อมที่จะแก้ไข สิ่งที่เกิดความลักลั่น ระหว่างธนาคารัฐ กับธนาคารพาณิชย์ แต่มีประเด็นที่น่าสนใจ สิ่งที่มองว่าเกิดความลักลั่นได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่กลับเพิ่งมาเรียกร้องว่าไม่เป็นธรรม แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมีปัญหาก็จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น
"แบงก์เฉพาะกิจของรัฐควรหลีกเลี่ยงการไปแข่งขันกับธนาคารเอกชน เพื่อให้ธนาคารเอกชนปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ ส่วนธนาคารของรัฐดูแลรายย่อยในแต่ละกลุ่ม
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เห็นด้วยกับแนวทางเก็บเงินนำส่งของแบงก์พาณิชย์เพื่อนำเงินไปชำระหนี้กองทุนฟื้นฟู แต่เพื่อไม่ให้กระทบกับระบบการเงิน จัดเก็บในอัตราที่มากขึ้นต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งต้องพิจารณาถึงฐานะของแบงก์พาณิชย์ รวมถึงระบบการเงินของประเทศ.
***ปล่อยกู้ซอฟต์โลนดอกเบี้ย 3%
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังกล่าวถึง พ.ร.ก.ที่ให้ ธปท.ปล่อยซอฟต์โลนด้วยว่า เบื้องต้นอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ จะไม่เกินร้อยละ 3 หรืออาจต่ำกว่านั้น เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนในต้นทุนที่ลดลง.
จากกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยกเลิกนัดกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการสรุปค่านำส่งในอัตราใหม่เพื่อใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูตาม พ.ร.ก.โอนหนี้ฯ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อ้างว่า สาเหตุที่ยกเลิกการประชุมฯ เพราะ ธปท.ควรจะหารือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองรัฐมนตรีและ รมว.คลังก่อน เพื่อจะได้รับฟังแนวทางของทางคลังก่อนค่อยมาหารือกับธนาคารพาณิชย์อีกครั้ง
"เราควรจะมีการหารือกับรมว.คลังก่อนไปหารือกับธนาคารพาณิชย์ คิดว่าทางคลังท่านก็จะมีแนวทางของท่านมาร่วมเสนอด้วย" นายประสารกล่าว
ก่อนหน้านี้ ธปท.เตรียมเสนออัตราค่านำส่ง 2 แนวทาง คือ 1.การเก็บเงินนำส่งจากฐานเงินฝาก 7.7 ล้านล้านบาท และตั๋วแลกเงิน หรือ บีอี 2 ล้านล้านบาท รวม 9.7 ล้านล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ โดยเก็บในอัตราคงที่ ร้อยละ 0.55-0.60 2.เก็บในอัตราขั้นบันได จากมากไปหาน้อยแต่ไม่เกิน 0.60% จากปัจจุบันที่เก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์ในอัตรา 0.4% เข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
*** "กิตติรัตน์" อุบไต๋ค่าต๋งแบงก์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุว่า ได้เตรียม 5 แนวทางไว้ที่จะหารือร่วมกับนายประสาร แต่รายละเอียดของทั้ง 5 แนวทางคงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เพราะเป็นความลับระหว่างผู้ว่าฯ ธปท.กับ รมว.คลัง โดยขอให้มีการปรึกษาหารือร่วมกันก่อน ส่วนผลจะออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับข้อมูล
ส่วนที่มีการรายงานข่าวว่าจะมีการเสนอให้ธนาคารพาณิชย์เลือกวิธีการจัดส่งค่าธรรมเนียมเพื่อนำไปใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ใน 2 แนวทางนั้น นายกิตติรัตน์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ตนมีทั้งหมด 5 แนวทาง มากกว่าที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าว
สำหรับข้อเสนอจัดเก็บเงินนำส่งจากธนาคารของรัฐ นายกิตติรัตน์เลี่ยงว่า ตนเองพร้อมที่จะแก้ไข สิ่งที่เกิดความลักลั่น ระหว่างธนาคารัฐ กับธนาคารพาณิชย์ แต่มีประเด็นที่น่าสนใจ สิ่งที่มองว่าเกิดความลักลั่นได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่กลับเพิ่งมาเรียกร้องว่าไม่เป็นธรรม แต่อย่างไรก็ดี เมื่อมีปัญหาก็จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น
"แบงก์เฉพาะกิจของรัฐควรหลีกเลี่ยงการไปแข่งขันกับธนาคารเอกชน เพื่อให้ธนาคารเอกชนปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ ส่วนธนาคารของรัฐดูแลรายย่อยในแต่ละกลุ่ม
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เห็นด้วยกับแนวทางเก็บเงินนำส่งของแบงก์พาณิชย์เพื่อนำเงินไปชำระหนี้กองทุนฟื้นฟู แต่เพื่อไม่ให้กระทบกับระบบการเงิน จัดเก็บในอัตราที่มากขึ้นต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งต้องพิจารณาถึงฐานะของแบงก์พาณิชย์ รวมถึงระบบการเงินของประเทศ.
***ปล่อยกู้ซอฟต์โลนดอกเบี้ย 3%
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังกล่าวถึง พ.ร.ก.ที่ให้ ธปท.ปล่อยซอฟต์โลนด้วยว่า เบื้องต้นอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนและภาคธุรกิจ จะไม่เกินร้อยละ 3 หรืออาจต่ำกว่านั้น เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนในต้นทุนที่ลดลง.
