ผู้ว่าการ ธปท. แจงทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายปีนี้ ไม่หวั่นการเมืองแทรกการทำงาน ลั่นยึดหลักการบริหารเศรษฐกิจ และความมั่นคงในระยะยาว ยอมรับปี 55 ความท้าทายเพิ่มสูงขึ้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน แนะช่องรัฐดึงทุนนอกเข้าประเทศ พร้อมจี้หน่วยงานรัฐเร่งแก้ปัญหาคอรร์รัปชั่น สร้างเสถียรภาพการเมือง ยันเงินเฟ้อไม่น่าห่วง ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินปีนี้ เน้นให้ธุรกิจเติบโต
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมคณะผู้บริหาร ธปท. แถลงนโยบายประจำปี 2555 ต่อสื่อมวลชน ณ ห้องประชุมป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชั้น 4 ธปท. โดยระบุว่า การขับเคลื่อนนโยบายในปีนี้ ธปท. จะยังยึดมั่นหลักการและยืดหยุ่นตามพลวัตรสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความมั่นคงในระยะยาวตามปนิธานที่ให้ไว้ ส่วนความท้าทายในปีนี้ยังมีอีกมาก เปรียบเสมือนถนนที่ไม่ราบเรียบจากสิ่งกีดขวางเดิมๆ และสิ่งกีดขวางใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
"ขณะนี้ประเทศไทยกำลังข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลง เข้าสู่โลกยุคใหม่ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าโฉมหน้าจะเป็นอย่างไร ความยืดเยื้อของปัญหาในประเทศอุตสาหกรรมหลักทั้ง สหรัฐฯและยุโรป จนมาสู่ปัญหาหนี้สาธารณะ และสถาบันการเงินที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะกระเตื่องขึ้น ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า เมื่อผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่าน เอเชียจะมีบทบาทมากขึ้น โดยมีผู้นำอย่างจีนจะเป็นหัวจักรสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในภูมิภาค"
อย่างไรก็ดี ประเทศเอเชียก็ไม่ควรชะล่าใจเพราะความผันผวนจากวิกฤตโลกตะวันตกที่ส่งผ่านช่องทางการค้า และการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่เป็นระยะ แต่ความแรงจะมากขึ้นอยู่กับการเตรียมรับมือเป็นสำคัญ รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมอเซียนหรือที่เรียกกันว่า เออีซี ในปี 2558 นั้น ไม่เพียงแต่การปรับตัวทางการค้าการลงทุนเข้าหากันมากขึ้น แต่เออีซียังเป็นการต่อยอดในการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพื่อให้ในที่สุดอาเซียนกลายเป็นตลาดเดียว ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลคค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย และเป็นโอกาศของประชาชน ธุรกิจ และประเทศ
ซึ่งความท้ายทางข้างต้น บวกกับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยแล้วเมื่อปลายปีก่อนแล้ว ทำให้ประเทศไทยยังจำเป็นต้องปรับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นไป โดยเน้นการลงทุนของภาครัฐ เพื่อสร้างการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ และการสร้างธรรมาภิบาลในกลไกลภาครัฐ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายประสาร กล่าวต่อว่า หากมองไปข้างหน้า หนทางสู่อนาคตไม่ได้เป็นถนนที่ราบเรียบ ระหว่างทางยังเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง ทั้งสิ่งกีดขวางเดิมๆ ที่ไม่เคยออกพ้นจากเส้นทาง และสิ่งกีดขว้างใหม่ๆ ที่เติมเข้ามาเพิ่มอุปสรรคให้กับเศรษฐกิจไทยมากขึ้น แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วปัญหาเหล่านี้ยังเป็นโจทย์ร่วมสมัยมาอย่างตอ่เนื่อง ดังนั้นทุกภาคส่วนควรมีการปรบตัว โดยกำหนดรอบแนวคิดและแผนงานที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยก้าวช่วงเปลี่ยนผ่านไปอย่างราบรื่น
สำหรับในส่วนของภาครัฐ การดำเนินนโยบายด้านการลงทุนที่เสริมศักยภาพในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดปัญหาคอรร์รัปชั่นและสร้างเสถียรภาพทางการเมือง จะเป็นหนทางช่วยให้ประเทศเร่งเครื่องออกห่างจากคู่แข่งที่กำลังตามมาอย่างกระชันชิด เพราะการลงทุนภารัฐเปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนทั้งประเทศและต่างประเทศได้
ขณะที่ด้านภาคเอกชน การหาลู่ทางเปิดตลาดใหม่ การพัฒนาประสิทธิภาพของการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ และการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เอกชนพร้อมรับกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเข้ามา ควรเร่งเสริมความรู้ ความเช้าใจเกี่ยวกับความซับซ้อนและความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง ส่งเสริมการแข่งขันของธุรกิจ เป็นต้น
สำหรับนโยบการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้นั้น ธปท.จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลสเถียรภาพของเศรษฐกิจไทยให้สอดคล้องกับวัฎจักรของเศรษฐกิจ โดยในปีนี การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ขณะที่แรงดดันดันต่อเงินต่อเงินเฟ้อจะเป็นปัจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยน้อยลงเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา ดังนั้นแนวนโยบายการเงินจึงสนับสนุนธุรกิจให้เติบโตตามศักยภาพ และสามารถรับมือกับความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกได้
ส่วนกรณีที่ฝ่ายการเมืองมีมุมมองที่แตกต่างกับธปท.นั้น นายประสาร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่ถึงกับผิดปกติที่ธนาคารกลาง กับรัฐบาลจะมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น การแก้ไขหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงิน และเสนอให้ ธปท. รับภาระ ซึ่งการให้ ธปท. พิมพ์ธนบัตรใช้หนี้ ซึ่งธปท. ก็ต้องใช้เวลาในการอธิบาย และท้ายที่สุดก็จะมีผลลัพธ์ที่ดี
