"ธีระชัย" เผย รบ.ยอมถอย พ.ร.ก. บริหารหนี้เงินกู้ ห่วงหลายฝ่ายเข้าใจผิด โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ให้กับ ธปท. แต่ความจริงออกเป็นการระดมทุนในรูปพันธบัตรรัฐบาล และเอามารวมอยู่ศูนย์เดียวกัน พร้อมโต้เกาเหลา "กิติรัตน์" ยันไม่ได้มีความขัดแย้ง เพราะขณะนี้เห็นตรงกันแล้ว
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไขพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ จำนวน 4 ฉบับ โดยระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขร่างกรอบกฎหมายพระ ราชกำหนดกู้เงิน 4 ฉบับเพิ่มเติม จากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง
นายธีระชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายฝ่ายอาจมีความเข้าใจผิดพระราชกำหนด 4 ฉบับที่รัฐบาลจะออกมา เป็นการโอนหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไปให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแล แต่ความจริงออกเป็นการระดมทุนในรูปพันธบัตรรัฐบาล และเอามารวมอยู่ศูนย์เดียวกันที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่ใช่เป็นการโอนหนี้ให้ ธปท. แต่อย่างใด
ทั้งนี้ จากการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 มีกฎหมาย 2 ฉบับกำหนดไว้ในการบริหารหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เพราะเป็นการให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรให้ก่อน แต่สุดท้าย ธปท. ก็ต้องจ่ายเงินคืนให้กับรัฐบาลเมื่อมีกำไรเกิดขึ้น เพราะถือว่าหนี้ดังกล่าวยังเป็นภาระของ ธปท. ต้องดูแล และภาระหนี้ดังกล่าวไม่มีกำหนดระยะเวลาการชำระที่ชัดเจนจึงเป็นภาระต่องบประมาณ ต้องตั้งงบชดเชยตลอดเวลา
ดังนั้น การบริหารจัดการหนี้ก้อนดังกล่าวขอยึดหลัก 3 ด้าน คือ 1. การยึดหลักจะไม่ทำให้เสียวินัยการคลัง และจะไม่มีการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติมในระบบอย่างแน่นอน 2.แนวทางการบริหารหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐบาล และ 3.จะไม่ให้กระทบต่อเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของ ธปท. แต่อย่างใด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า กรณีการจัดเก็บค่าธรรมเนียม หรือภาษีพิเศษเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นการดำเนินการเหมือนกับต่างประเทศทั้งสหรัฐ และยุโรป และเห็นว่าสถาบันประกันเงินฝากได้ลดการส่งเงินสมทบให้ในระดับที่เหมาะสมแล้ว เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมของธนาคาร รวมทั้งยังลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 และยังมีแนวโน้มลดลงให้อีก ดังนั้น การเก็บภาษีเพิ่มดังกล่าว เพื่อให้ชดเชยภาระของรัฐบาล และยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับนายกิติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะขณะนี้เห็นตรงกันแล้ว