ASTVผู้จัดการรายวัน- ตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแคปอีก 1.2 แสนล้านบาทในปีหน้า จากหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียน หลังปีนี้ทำได้เพียง 6 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท เหตุ ภาวะตลาดหุ้นเอื้อจากข่าวดีมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรป และมีหลายบริษัทเตรียมตัวเข้าจดทะเบียน “จรัมพร” เผย ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะซึมถึงสิ้นปี แต่อาจปรับตัวขึ้นได้จากแรงซื้อของกองทุนแอลทีเอฟ -อาเอ็มเอฟ ด้านดัชนีหุ้นไทยพลิกกลับมาบวก 0.68 จุด โบรกฯคาดวันนี้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าปีหน้าจะมีบริษัทเข้ามาเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ฯเอ็มเอไอ (mai) โดยจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)อีก 1.2 แสนล้านบาท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย) เนื่องจาก มองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะเอื้อในการเสนอขายไอพีโอ หากทางยุโรปมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาหนี้และทุกประเทศมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะมีเม็ดเงินสภาพคล่องที่สูง ทำให้ต้องหาแหล่งลงทุน ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับผลดี จากมีP/E ต่ำ และ ผลประกอบการบจ.เติบโตดี
ทั้งนี้จากการประเมินของนักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่าทางยุโรปจะมีการใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาอีกประมาณ 1ไตรมาส ซึ่งจะส่งผลดีทำให้มองว่าไตรมาส2/55ภาวะตลาดหุ้นน่าปรับตัวดี ประกอบดับมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนหลายแห่งที่มีการเลื่อนการเข้าจดทะเบียนมาเป็นปีหน้า และมีบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งส่วนตัวมองว่าการเข้าจดทะเบียนสองตลาด (ดูโอลิสต์ติ้ง)ของ ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป จะสามารถเข้ามาจดทะเบียนได้ จากปัจจุบันที่ติดปัญหาเรื่องภาษีอยู่ สำหรับในปีนี้ มีบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนทำให้สามารถเพิ่มมาร์เกตแคปได้ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใม่เข้าจดทะเบียน 1 แสนล้านบาท
“ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนนี้ก็จะซึมตัวจากที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ ทำให้การซื้อขายหุ้นก็จะนิ่งๆ แต่ในช่วงปลายปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีแรงหนุนจากการซื้อของกองทุน LTF กับ RMF ที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นได้บ้าง ”นายจรัมพร กล่าว
นายจรัมพร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าจะมีการเดินสายนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ต่างประเทศในไตรมาส1/55 หลังจากประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้น และคาดว่ารัฐบาลจะมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ทำให้มีข้อมูลที่เพียงพอจะไปนำเสนอแก่นักลงทุนต่างประเทศ
**หุ้นไทยวานนี้กลับมาบวก0.68จุด
ด้านดัชนีหุ้นไทยวานนี้(15ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,024.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด หรือ 0.07% มูลค่าการซื้อขาย 25,264.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,024.16 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,006.16จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 191 หลักทรัพย์ ลดลง 288 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 128 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,679.48 ล้านบาท ปิดที่ 62.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,340.44 ล้านบาท ปิดที่ 315.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,259.50 ล้านบาท ปิดที่ 317.00 บาท ลดลง 2.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,235.28 ล้านบาท ปิดที่ 554.00 บาท ลดลง 14.00 บาท และBBL มูลค่าการซื้อขาย 1,200.43 ล้านบาท ปิดที่ 150.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โอเอสเค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้พลิกกลับมาปิดตัวในแดนบวกได้เล็กน้อย โดยช่วงบ่ายดัชนีฯดีดตัวกลับขึ้นมาจากช่วงเช้าที่ลงไปพอสมควรตามภูมิภาค จากประเด็นกังวลเดิมๆเรื่องปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่เมื่อตลาดหุ้นยุโรปเปิดทำการขึ้นมาในแดนบวก จึงเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยให้ดีดตัวและปิดบวกได้ในที่สุด แต่มองว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป เป็นเพียงแค่การดีดตัวในช่วงสั้น เพราะที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงไปแรง และยังไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่เป็นนัยสำคัญเข้ามา
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(16 ธ.ค.) คาดว่าดัชนี คงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะปัจจัยในประเทศช่วงนี้ก็ยังไม่มีเรื่องใหม่เข้ามา คาดว่าภาพรวมช่วงนี้ตลาดฯยังผันผวน พร้อมให้แนวรับ 1,000 จุด แนวต้าน 1,030 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าปีหน้าจะมีบริษัทเข้ามาเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ฯเอ็มเอไอ (mai) โดยจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)อีก 1.2 แสนล้านบาท (รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย) เนื่องจาก มองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะเอื้อในการเสนอขายไอพีโอ หากทางยุโรปมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาหนี้และทุกประเทศมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะมีเม็ดเงินสภาพคล่องที่สูง ทำให้ต้องหาแหล่งลงทุน ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็จะได้รับผลดี จากมีP/E ต่ำ และ ผลประกอบการบจ.เติบโตดี
ทั้งนี้จากการประเมินของนักวิเคราะห์ต่างประเทศประเมินว่าทางยุโรปจะมีการใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาอีกประมาณ 1ไตรมาส ซึ่งจะส่งผลดีทำให้มองว่าไตรมาส2/55ภาวะตลาดหุ้นน่าปรับตัวดี ประกอบดับมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนหลายแห่งที่มีการเลื่อนการเข้าจดทะเบียนมาเป็นปีหน้า และมีบริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งส่วนตัวมองว่าการเข้าจดทะเบียนสองตลาด (ดูโอลิสต์ติ้ง)ของ ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป จะสามารถเข้ามาจดทะเบียนได้ จากปัจจุบันที่ติดปัญหาเรื่องภาษีอยู่ สำหรับในปีนี้ มีบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนทำให้สามารถเพิ่มมาร์เกตแคปได้ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใม่เข้าจดทะเบียน 1 แสนล้านบาท
“ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนนี้ก็จะซึมตัวจากที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ ทำให้การซื้อขายหุ้นก็จะนิ่งๆ แต่ในช่วงปลายปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีแรงหนุนจากการซื้อของกองทุน LTF กับ RMF ที่จะเข้ามากระตุ้นตลาดหุ้นได้บ้าง ”นายจรัมพร กล่าว
นายจรัมพร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่าจะมีการเดินสายนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ต่างประเทศในไตรมาส1/55 หลังจากประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมดีขึ้น และคาดว่ารัฐบาลจะมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ทำให้มีข้อมูลที่เพียงพอจะไปนำเสนอแก่นักลงทุนต่างประเทศ
**หุ้นไทยวานนี้กลับมาบวก0.68จุด
ด้านดัชนีหุ้นไทยวานนี้(15ธ.ค.) ปิดที่ระดับ 1,024.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.68 จุด หรือ 0.07% มูลค่าการซื้อขาย 25,264.95 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,024.16 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,006.16จุด
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 191 หลักทรัพย์ ลดลง 288 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 128 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,679.48 ล้านบาท ปิดที่ 62.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,340.44 ล้านบาท ปิดที่ 315.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,259.50 ล้านบาท ปิดที่ 317.00 บาท ลดลง 2.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,235.28 ล้านบาท ปิดที่ 554.00 บาท ลดลง 14.00 บาท และBBL มูลค่าการซื้อขาย 1,200.43 ล้านบาท ปิดที่ 150.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โอเอสเค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้พลิกกลับมาปิดตัวในแดนบวกได้เล็กน้อย โดยช่วงบ่ายดัชนีฯดีดตัวกลับขึ้นมาจากช่วงเช้าที่ลงไปพอสมควรตามภูมิภาค จากประเด็นกังวลเดิมๆเรื่องปัญหาหนี้สินในยุโรป แต่เมื่อตลาดหุ้นยุโรปเปิดทำการขึ้นมาในแดนบวก จึงเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยให้ดีดตัวและปิดบวกได้ในที่สุด แต่มองว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป เป็นเพียงแค่การดีดตัวในช่วงสั้น เพราะที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงไปแรง และยังไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่เป็นนัยสำคัญเข้ามา
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(16 ธ.ค.) คาดว่าดัชนี คงเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะปัจจัยในประเทศช่วงนี้ก็ยังไม่มีเรื่องใหม่เข้ามา คาดว่าภาพรวมช่วงนี้ตลาดฯยังผันผวน พร้อมให้แนวรับ 1,000 จุด แนวต้าน 1,030 จุด