“ประสาร” สนับสนุนแบงก์พาณิชย์ไทยไปเวทีอาเซียน แนะเร่งวางกลยุทธ์รองรับแข่งขันภายใต้ AEC ต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน แข่งขันในเชิงคุณภาพบริหาร ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ยอมรับที่ผ่านมาแบงก์ไทยไปนอกน้อยกว่าแบงก์นอกมาไทย
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง Financial Market Infrastructure: Competitiveness to AEC 2015 ว่า ขณะนี้การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แต่ละชาติเตรียมความพร้อมไปมากแล้ว ทั้งการเปิดเสรีการค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีในปี 58 การเพิ่มขีดความสามารถไม่เพียงแต่ภายในประเทศของตนเอง แต่มีกลยุทธ์แข่งขันในตลาดใหม่ๆ
“หลายประเทศเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อใช้ประโยชน์ AEC อย่างเต็มที่ การเปิดเสรีภาคธนาคารในระดับอาเซียนมีเป้าหมายการรวมตัวของภาคธนาคาร แต่สมาชิกอาเซียน เห็นว่า ภาคบริการทางการเงินยังมีความอ่อนไหว และต้องสร้างความพร้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการเพิ่มการแข่งขัน โดยจะต้องดูแลความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงินควบคู่ไปด้วย
“การเปิดเสรีภาคธนาคารถือเป็นประเด็นอ่อนไหว เพราะสมาชิก AEC 10 ประเทศมีระดับการพัฒนาของภาคธนาคารที่แต่งต่างกัน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาดูความพร้อมและกำหนดเวลาเป้าหมาย สมมติแบงก์ไทยมี 14 แห่งอาจเข้าเกณฑ์ที่กำหนดจำนวนหนึ่งที่จะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศสมาชิก แล้วแต่ตกลงกันว่าจะเข้าไปได้ในช่วงไหน”
นายประสาร กล่าวว่า นอกจากความท้าทายที่เป็นปกติแล้ว ธนาคารจะต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน การแข่งขันในเชิงคุณภาพบริหาร ตลอดจนความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และการบริหารความเสี่ยง และยังต้องเพิ่มมิติของกลยุทธที่ชัดเจนในการแข่งขันภายใต้โจทย์ AEC โดยต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความชำนาญเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่ง ธปท.พร้อมที่จะมีบทบาทเสริมกลยุทธ์ของภาคธนาคารพาณิชย์เพื่อสเริมต่อให้กลยุทธ์ภาคธุรกิจที่เป็นลูกค้าของธนาคาร
“ที่ผ่านมา แบงก์เราอยู่แต่ในประเทศมาก หากเราจะแข่งขันได้ก็ได้ประโยชน์ ถ้าแข่งขันไม่ได้ก็เสียประโยชน์ ตอนนี้ให้เวลาเตรียมตัว หากไม่เตรียมก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น มีแบงก์ไทยไปต่างประเทศน้อย แต่แบงก์ต่างประเทศเข้ามาในไทยมาก” นายประสาร กล่าว
การรวมตัวเป็น AEC ภาคการเงินมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในการขยายตลาดและฐานการผลิต เพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถการแข่งขันและประชาชนในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยความร่วมมือด้านการเงินของอาเซียน ประกอบด้วย 1.ความร่วมมือในระบบการชำระเงิน ซึ่ง ธปท.ร่วมมือกับ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย เป็นประธานร่วมของคณะทำงานด้านระบบชำระเงิน มีกลุยทธในการพัฒนาระบบการชำระเงินของอาเซียน ให้สะดวก ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ รองรับธุรกิจการเงิระหว่างประเทศ 2.การเปิดแสรีด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพื่อลดอุปสรรคจากกฎระเบียบและขั้นตอนการอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนรองรับการลงทุนจัดตั้งธุรกิจ และการลงทุนทางการเงินข้ามพรมแดน โดยอาเซียนให้ความสำคัญต่อการดูแลเสถียภาพการเงิน หากเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน จึงต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกของการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความจำเป็นของการรักษาเสถียภาพของระบบการเงิน ควบคู่กับการมีระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี การเปิดเสรีภาคการธนาคาร และการพัฒนาตลาดทุน
3.การเปิดเสรีภาคธนาคาร ช่วยให้มีผู้บริการที่แข่งกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินตอบโจทย์ธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจข้ามพรมแดน สนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ด้วยการแข่งขันให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย ไม่มีอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นการขยายโอกาสของสสถาบันการเงินไทยในการให้บริการแก่ธุรกิจและแรงงานไทยในอาเซียน ทั้งนี้ภาคธนาคารจะเป็นแกนหลักของระบบการเงินในภูมิภาค ทั้งเป็นผู้ให้บริการในระบบการชำระเงิน เป็นตัวกลางระดมเงินออมและจัดสรรเงินลงทุนของระบบเศรษฐกิจและเป็นผู้ขายบริการด้านบริหารความเสี่ยง 4.การพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทำให้ระบบการเงินของอาเซียนมีความสมดุลและลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเงิน เป็นการเพิ่มแหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจและเป็นทางเลือกใหม่ในการออมและการลงทุนในตลาดทุนของประเทศสมาชิกอาเซียน นอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ตลาดทุนของแต่ละประเทศมีขนาดค่อนข้างเล็ก จึงสนับสนุนให้เชื่อมโยงตลาดทุนเพื่อยกระดับของตลาดหลักทรัพย์ ให้นักลงทุนสามารถลงทุนหรือระดมทุนได้สะดวกรวดเร็วจากการมีมาตรฐานและกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน มีการพัฒนา ASEAN products ที่มีความลึกและหลากหลาย มีการรวมกลุ่มหลักทรัพย์ bluechip ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่เรียกว่า ASEAN Stars ให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั่วโลก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง Financial Market Infrastructure: Competitiveness to AEC 2015 ว่า ขณะนี้การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) แต่ละชาติเตรียมความพร้อมไปมากแล้ว ทั้งการเปิดเสรีการค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีในปี 58 การเพิ่มขีดความสามารถไม่เพียงแต่ภายในประเทศของตนเอง แต่มีกลยุทธ์แข่งขันในตลาดใหม่ๆ
“หลายประเทศเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อใช้ประโยชน์ AEC อย่างเต็มที่ การเปิดเสรีภาคธนาคารในระดับอาเซียนมีเป้าหมายการรวมตัวของภาคธนาคาร แต่สมาชิกอาเซียน เห็นว่า ภาคบริการทางการเงินยังมีความอ่อนไหว และต้องสร้างความพร้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการเพิ่มการแข่งขัน โดยจะต้องดูแลความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเงินควบคู่ไปด้วย
“การเปิดเสรีภาคธนาคารถือเป็นประเด็นอ่อนไหว เพราะสมาชิก AEC 10 ประเทศมีระดับการพัฒนาของภาคธนาคารที่แต่งต่างกัน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาดูความพร้อมและกำหนดเวลาเป้าหมาย สมมติแบงก์ไทยมี 14 แห่งอาจเข้าเกณฑ์ที่กำหนดจำนวนหนึ่งที่จะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศสมาชิก แล้วแต่ตกลงกันว่าจะเข้าไปได้ในช่วงไหน”
นายประสาร กล่าวว่า นอกจากความท้าทายที่เป็นปกติแล้ว ธนาคารจะต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน การแข่งขันในเชิงคุณภาพบริหาร ตลอดจนความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และการบริหารความเสี่ยง และยังต้องเพิ่มมิติของกลยุทธที่ชัดเจนในการแข่งขันภายใต้โจทย์ AEC โดยต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความชำนาญเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่ง ธปท.พร้อมที่จะมีบทบาทเสริมกลยุทธ์ของภาคธนาคารพาณิชย์เพื่อสเริมต่อให้กลยุทธ์ภาคธุรกิจที่เป็นลูกค้าของธนาคาร
“ที่ผ่านมา แบงก์เราอยู่แต่ในประเทศมาก หากเราจะแข่งขันได้ก็ได้ประโยชน์ ถ้าแข่งขันไม่ได้ก็เสียประโยชน์ ตอนนี้ให้เวลาเตรียมตัว หากไม่เตรียมก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น มีแบงก์ไทยไปต่างประเทศน้อย แต่แบงก์ต่างประเทศเข้ามาในไทยมาก” นายประสาร กล่าว
การรวมตัวเป็น AEC ภาคการเงินมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงในการขยายตลาดและฐานการผลิต เพื่อให้เกิดการค้าการลงทุนระหว่างกันมากขึ้น ทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถการแข่งขันและประชาชนในภูมิภาคมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยความร่วมมือด้านการเงินของอาเซียน ประกอบด้วย 1.ความร่วมมือในระบบการชำระเงิน ซึ่ง ธปท.ร่วมมือกับ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย เป็นประธานร่วมของคณะทำงานด้านระบบชำระเงิน มีกลุยทธในการพัฒนาระบบการชำระเงินของอาเซียน ให้สะดวก ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ รองรับธุรกิจการเงิระหว่างประเทศ 2.การเปิดแสรีด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพื่อลดอุปสรรคจากกฎระเบียบและขั้นตอนการอนุญาตให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนรองรับการลงทุนจัดตั้งธุรกิจ และการลงทุนทางการเงินข้ามพรมแดน โดยอาเซียนให้ความสำคัญต่อการดูแลเสถียภาพการเงิน หากเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน จึงต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกของการเคลื่อนย้ายเงินทุนและความจำเป็นของการรักษาเสถียภาพของระบบการเงิน ควบคู่กับการมีระบบบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี การเปิดเสรีภาคการธนาคาร และการพัฒนาตลาดทุน
3.การเปิดเสรีภาคธนาคาร ช่วยให้มีผู้บริการที่แข่งกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินตอบโจทย์ธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะธุรกิจข้ามพรมแดน สนับสนุนภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ด้วยการแข่งขันให้บริการทางการเงินที่หลากหลาย ไม่มีอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายเงินทุน เป็นการขยายโอกาสของสสถาบันการเงินไทยในการให้บริการแก่ธุรกิจและแรงงานไทยในอาเซียน ทั้งนี้ภาคธนาคารจะเป็นแกนหลักของระบบการเงินในภูมิภาค ทั้งเป็นผู้ให้บริการในระบบการชำระเงิน เป็นตัวกลางระดมเงินออมและจัดสรรเงินลงทุนของระบบเศรษฐกิจและเป็นผู้ขายบริการด้านบริหารความเสี่ยง 4.การพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวมทำให้ระบบการเงินของอาเซียนมีความสมดุลและลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเงิน เป็นการเพิ่มแหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจและเป็นทางเลือกใหม่ในการออมและการลงทุนในตลาดทุนของประเทศสมาชิกอาเซียน นอกเหนือจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ตลาดทุนของแต่ละประเทศมีขนาดค่อนข้างเล็ก จึงสนับสนุนให้เชื่อมโยงตลาดทุนเพื่อยกระดับของตลาดหลักทรัพย์ ให้นักลงทุนสามารถลงทุนหรือระดมทุนได้สะดวกรวดเร็วจากการมีมาตรฐานและกฎระเบียบที่สอดคล้องกัน มีการพัฒนา ASEAN products ที่มีความลึกและหลากหลาย มีการรวมกลุ่มหลักทรัพย์ bluechip ของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนที่เรียกว่า ASEAN Stars ให้เป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั่วโลก