ASTV ผู้จัดการรายวัน - “เอสแอนด์พี” เตรียมปรับลดเรทติ้งประเทศในยูโรโซน กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก โบรกฯแนะนักลงทุนถือเงินสด คาดนักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มขายหุ้นไทยช่วงเดือนนี้ ส่วนทิศทางตลาดในช่วงปลายปี ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักทุนไทยเป็นหลัก
จากกรณีสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือเอสแอนด์พี ประกาศเตือนต่อชาติสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร หรือยูโรโซน ว่าอยู่ในสถานภาพเครดิตพินิจมีแนวโน้มเป็นลบ อันหมายถึง อาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจแก่ชาติสมาชิกยูโรโซนจำนวน 15 ประเทศ จากจำนวนทั้งสิ้น 17 ประเทศ หากยังไม่สามารถจัดการวิกฤตหนี้สาธารณะที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้ได้
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ออกบทวิเคราะห์ ว่า บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P)เตรียมปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งประเทศผู้นำในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส และเยอรมัน จากปัจจุบันที่ได้รับเครดิตเรตติ้งสูงสุดของโลกที่ AAA หลังจากที่ S&Pเพิ่งปรับลดมุมมองของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปลงเป็น “เชิงลบ” จากเดิมที่เป็น “กลาง” ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความเสี่ยงของหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังมีอยู่และมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ฝรั่งเศส และเยอรมนี จะต้องเข้าดำเนินการแก้ไขปัยหาในยุโรปโดยเร่งด่วน ซึ่งหมายความว่าจะต้องเลือกตัดสินใจให้ความช่วยเหลือกรีซ และ ประเทศอื่นๆในกลุ่ม หรือจะปล่อยให้ประเทศที่เกิดวิกฤตทางการเงินล้มไปตจ่อหน้าต่อตา
ทั้งนี้ ผลสรุปในการปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับผลการประชุมของผู้นำยุโรปในวันที่ 8-9 ธันวาคมนี้ ที่กรุงบรัสเซล ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ทางเยอรมันและฝรั่งเศส จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขกฎเกณฑ์ในการควบคุมดูแลประเทศสมาชิก เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดในระยะยาว และคาดหวังว่าจะช่วยหยุดวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปในรอบนี้ได้เร็วขึ้น เชื่อว่าในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง และลดความคาดหวังต่อตลาดในเชิงบวก
หลังจากที่ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเกินความคาดหมายตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวขึ้นระหว่าง 5-9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นราว 5% มาแตะ 1,030 จุด ซึ่งเป็นระดับ P/E12 เท่า และเห็นดัชนีเป้าหมายที่กำหนดไว้ ณ สิ้นปี 2554 เชื่อว่าอาจจะเป็นแนวต้นที่มีนัยสำคัญในระดับนี้ นักลงทุนที่ปรับพอร์ตขายไปก่อนหน้านี้และนะให้ถือเงินสด รอซื้อกลับมือดัชนีอ่อนตัวอีกครั้ง
สำหรับบริษัทคาดว่าแนวโน้มการซื้อสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัวลงเนื่องจากผลของฤดูกาล โดยการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า มีโอกาสสูงถึง 70% ที่นักลงทุนจะขายสุทธิในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงขายจะไม่มากจนกดดันตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทิศทางตลาดในช่วงปลายปี ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักทุนไทยเป็นหลัก
ล่าสุด วานนี้ (6 ธ.ค.) ตลาดหุ้นไทยปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,030.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.40 จุด หรือ 0.14% มูลค่าการซื้อขาย 25,976.04 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,036.21 จุด และต่ำสุดที่ 1,024.48 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่พักฐานและอ่อนตัวลง ภาพรวมเป็นลักษณะเลือกเล่นหุ้นรายตัวช่วยประคองตลาดฯ ไว้ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังไม่มาก เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และนักลงทุนรอผลการประชุมผู้นำสหภาพยุโรปช่วงสุดสัปดาห์นี้
ทำให้แนวโน้มการลงทุนวันนี้ (7 ธ.ค.)ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ระหว่างวันก็คงมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเช่นเดียวกับวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,020 จุด แนวต้าน 1,040 และ 1,044 จุด
จากกรณีสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือเอสแอนด์พี ประกาศเตือนต่อชาติสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโร หรือยูโรโซน ว่าอยู่ในสถานภาพเครดิตพินิจมีแนวโน้มเป็นลบ อันหมายถึง อาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจแก่ชาติสมาชิกยูโรโซนจำนวน 15 ประเทศ จากจำนวนทั้งสิ้น 17 ประเทศ หากยังไม่สามารถจัดการวิกฤตหนี้สาธารณะที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้ได้
ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ออกบทวิเคราะห์ ว่า บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P)เตรียมปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งประเทศผู้นำในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส และเยอรมัน จากปัจจุบันที่ได้รับเครดิตเรตติ้งสูงสุดของโลกที่ AAA หลังจากที่ S&Pเพิ่งปรับลดมุมมองของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปลงเป็น “เชิงลบ” จากเดิมที่เป็น “กลาง” ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความเสี่ยงของหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังมีอยู่และมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ฝรั่งเศส และเยอรมนี จะต้องเข้าดำเนินการแก้ไขปัยหาในยุโรปโดยเร่งด่วน ซึ่งหมายความว่าจะต้องเลือกตัดสินใจให้ความช่วยเหลือกรีซ และ ประเทศอื่นๆในกลุ่ม หรือจะปล่อยให้ประเทศที่เกิดวิกฤตทางการเงินล้มไปตจ่อหน้าต่อตา
ทั้งนี้ ผลสรุปในการปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับผลการประชุมของผู้นำยุโรปในวันที่ 8-9 ธันวาคมนี้ ที่กรุงบรัสเซล ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ทางเยอรมันและฝรั่งเศส จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขกฎเกณฑ์ในการควบคุมดูแลประเทศสมาชิก เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดในระยะยาว และคาดหวังว่าจะช่วยหยุดวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปในรอบนี้ได้เร็วขึ้น เชื่อว่าในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นปัจจัยที่กลับมากดดันตลาดอีกครั้ง และลดความคาดหวังต่อตลาดในเชิงบวก
หลังจากที่ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและเกินความคาดหมายตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวขึ้นระหว่าง 5-9% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นราว 5% มาแตะ 1,030 จุด ซึ่งเป็นระดับ P/E12 เท่า และเห็นดัชนีเป้าหมายที่กำหนดไว้ ณ สิ้นปี 2554 เชื่อว่าอาจจะเป็นแนวต้นที่มีนัยสำคัญในระดับนี้ นักลงทุนที่ปรับพอร์ตขายไปก่อนหน้านี้และนะให้ถือเงินสด รอซื้อกลับมือดัชนีอ่อนตัวอีกครั้ง
สำหรับบริษัทคาดว่าแนวโน้มการซื้อสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัวลงเนื่องจากผลของฤดูกาล โดยการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า มีโอกาสสูงถึง 70% ที่นักลงทุนจะขายสุทธิในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงขายจะไม่มากจนกดดันตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทิศทางตลาดในช่วงปลายปี ปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับการลงทุนของนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักทุนไทยเป็นหลัก
ล่าสุด วานนี้ (6 ธ.ค.) ตลาดหุ้นไทยปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,030.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.40 จุด หรือ 0.14% มูลค่าการซื้อขาย 25,976.04 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,036.21 จุด และต่ำสุดที่ 1,024.48 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย สวนทางตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่พักฐานและอ่อนตัวลง ภาพรวมเป็นลักษณะเลือกเล่นหุ้นรายตัวช่วยประคองตลาดฯ ไว้ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายยังไม่มาก เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และนักลงทุนรอผลการประชุมผู้นำสหภาพยุโรปช่วงสุดสัปดาห์นี้
ทำให้แนวโน้มการลงทุนวันนี้ (7 ธ.ค.)ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่ระหว่างวันก็คงมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาเช่นเดียวกับวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,020 จุด แนวต้าน 1,040 และ 1,044 จุด