xs
xsm
sm
md
lg

“ซีพีเอฟ” ผงาดขึ้นสู่อันดับ 3 ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่โลก คาดปีหน้าโกย 3 แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ซีพีเอฟ” ผงาดขึ้นสู่อันดับ 3 ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก หลังเข้าซื้อกิจการอาหารสัตว์ในจีน และธุรกิจเกษตรในเวียดนาม ลั่นปีหน้าโกยรายได้ทะลุ 3 แสนล้านบาท โตพรวดกว่า 50% ยอมรับพิษน้ำท่วมฉุดรายได้ปีนี้พลาดเป้า เหลือแค่ 2.1 แสนล้านบาท

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ เมื่อวานนี้ โดยมีมติอนุมัติเสนอผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาให้ซีพีเอฟและบริษัทย่อยเข้าซื้อหุ้น จำนวน 74.18% ของ C.P. Pokphand Co., Ltd.หรือ CPP ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์เลขที่ 43 โดยในส่วนธุรกิจหลักของ CPP นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศจีน และธุรกิจเกษตรในประเทศเวียดนาม (C.P.Vietnam Corporation หรือ CPV)

สำหรับวงเงินในการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 66,300 ล้านบาท โดยบริษัทจะชำระเป็นเงินสดประมาณ 45,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 20,800 ล้านบาท บริษัทจะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 694 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 30 บาท เพื่อให้กลุ่มนักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ในซีพีพี ที่ส่วนใหญ่เป็นตระกูล เจียรวนนท์เข้ามาถือหุ้นในซีพีเอฟ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สัดส่วนการถือหุ้นในซีพีเอฟจะเป็นกลุ่มซีพีกรุ๊ป ที่ส่วนใหญ่เป็นตระกูลเจียรวนนท์ เพิ่มเป็น 49.90% และอีก 50.10% เป็นกลุ่มนักลงทุนรายย่อย จากเดิมกลุ่มซีพีกรุ๊ปมีสัดส่วน 42.15% และอีก 57.85% เป็นนักลงทุนรายย่อย ซึ่งหลังจากการเพิ่มทุนทำให้ทุนจดทะเบียนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 7,520 ล้านหุ้น เป็น 8,214 ล้านหุ้น โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้ลดทุนจดทะเบียน 471 ล้านหุ้น ทำให้ทุนจดทะเบียนหลังทำรายการเสร็จแล้วจะมีจำนวน 7,743 ล้านหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 3%

“สำหรับขั้นตอนการซื้อขายทุกอย่างน่าจะดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ภายในต้น มี.ค.55 ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวของ CPP จะส่งผลให้บริษัทขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจการเกษตรในเวียดนาม และเป็นอันดับ 2 ธุรกิจอาหารสัตว์ในจีน ขณะที่ภาพรวมการเป็นผู้ผลิตอาหารในตลาดโลกจะขึ้นมาเป็นอันดับ 3 จากอันดับ 6 หรือ 7 ของโลกในปัจจุบัน”

นอกจากนี้ การเข้าซื้อหุ้นของธุรกิจดังกล่าวในประเทศจีนและประเทศเวียดนามยังจะส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปี 2555 มีอัตราการเติบโตทันที 50% หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปกติทุกปีที่บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 10-15% พร้อมกันนี้ยังจะส่งผลให้อัตราส่วนรายได้จากธุรกิจการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเป็น 51% ทันทีในปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ 26% อีก 61% เป็นรายได้ในประเทศ และ 13% เป็นรายได้จากการส่งออก

ทั้งนี้ ผลประกอบการในสิ้นปีนี้คาดว่าจะปรับตัวลดลงเหลือ 210,000 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 220,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทมีการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องในปีหน้า ประกอบกับในปีหน้าจะมีการฟื้นฟูประเทศและบ้านเรือนหลังน้ำลด คาดว่า จะทำให้จีดีพีของไทยในปีหน้ากลับมาเติบโตได้ที่ 4-5%
กำลังโหลดความคิดเห็น