xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ห่วงฝรั่งขาย ฟังธง! เงินรอกลับ “ธีระชัย” ฟุ้งตลาดหุ้นไทยยังจูงใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ธีระชัย” ลั่นอีกไม่นาน ทุนนอกไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย เหตุเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังพื้นฐานดีน่าลงทุน ด้าน “ประสาร” เข้าพบที่กระทรวงคลังเย็นวันนี้ (4 ต.ค.) ส่งการบ้านตั๋วบีอี-กรอบเงินเฟ้อ ส่วนกองทุนมั่งคั่งกับหนี้สินกองทุนฟื้นฟูขอเวลาอีกระยะ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง ว่า นักลงทุนต่างชาติถูกไถ่ถอนและจำเป็นต้องใช้เงิน เพื่อนำไปช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศ เป็นสาเหตุทำให้ตลาดหุ้นไทยตก ไม่ได้เกิดจากนักลงทุนมองตลาดหุ้นไทยไม่ดี ตรงข้าม ศักยภาพหุ้นไทยยังดีอยู่

“นักลงทุนจะเทขายหุ้นในพอร์ตที่มีกำไรและมีสภาพคล่อง เป้าจะขายก็คือประเทศในเอเชีย เชื่อว่า เมื่อเขามีเงินเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหา ถึงจุดหนึ่งเขาก็หยุดขาย คิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เราอย่าไปตื่นเต้นตามเขา เมื่อเขามีเงินพอที่จะเคลียร์ปัญหา ถึงจุดหนึ่ง ปัจจัยพื้นฐานและความน่าลงทุนในเอเชียมันจะก็กลับมาอีก” นายธีระชัย กล่าวและว่า การดำเนินการนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลและความร่วมมือในภูมิภาคจะทำให้ไทยและภูมิภาคเข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในยุโรปด้วยการกู้เพิ่มถือว่าไม่ถูกต้อง ระดับหนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้น ฐานะอ่อนแอเพราะเป็นหนี้มาก ภาระดอกเบี้ยจะกินหมด วิธีการแก้ไขปัญหาต้องแฮร์คัตหรือเอางบประมาณประเทศร่ำรวยมาช่วย หากไม่ยอมทำและเลือกแก้ไขปัญหาอ้อมๆ ถึงจุดหนึ่งอาจจะกลับมากระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศต่างๆ อีกก็เป็นได้

**“ประสาร” พบขุนคลังส่งการบ้านวันนี้**
แหล่งข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เย็นวันนี้ (4 ต.ค.) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าพบนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง เพื่อเสนอความคืบหน้าเกี่ยวกับนโยบายการเงิน พร้อมส่งการบ้าน 4 ข้อที่ รมว.คลังได้สั่งการไปให้ ธปท.ศึกษาเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา

โจทย์ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.การสร้างความมั่นคงในการออกตั๋วแลกเงิน (บีอี) ของระบบธนาคารพาณิชย์ 2.การตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 3.การแก้ไขหนี้สินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และ 4.การปรับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อให้มีความท้าทายและเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

“การแก้ปัญหาตั๋วบีอี และกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ ในปี 2555 นั้น ธปท.ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างมีความชัดเจนที่จะนำไปหารือและรับฟังความคิดเห็นในฝั่งกระทรวงการคลัง ซึ่งเชื่อว่านำไปสู่การปฎิบัติในเวลาไม่นานจากนี้ แต่การตั้งกองทุนมั่งคั่งฯ และการแก้ไขหนี้สินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯนั้น ธปท.ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน” แหล่งข่าว กล่าว

โดยการสร้างความมั่นคงของตั๋วบีอีนั้น ธปท.จะออกเกณฑ์การดูแลความมั่นคงในการชำระคืน และความเพียงพอของสภาพคล่องในการออกตั๋วบีอีในฝั่งของธนาคารพาณิชย์ โดยให้ธนาคารพาณิชย์ นำมูลค่าของการออกตั๋วบีอีที่แต่ละธนาคารออก มารวมเป็นฐานเงินฝากในการดำรงเงินสดสินทรัพย์สภาพคล่อง 6% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีเงินสด และสภาพคล่องเพียงพอรองรับการชำระคืนตั๋วบีอีของประชาชน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ได้อนุมัติหลักเกณฑ์ดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว รอเพียงการหารือกับ รมว.คลัง เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการ

ขณะที่กรอบเงินเฟ้อปี 2555 ใหม่จาก 0.5-3% ซึ่งเป็นกรอบเงินเฟ้อของปี 2554 ให้แคบลง และต้องการให้ปรับกรอบด้านล่างให้สูงขึ้นนั้น ที่ประชุม กนง.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาแนวทางการเสนอกรอบเงินเฟ้อที่จะใช้ในปี 2555 โดยข้อเสนอใน 2 แนวทาง คือการปรับอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายในส่วนที่เป็นกรอบล่างเพิ่มขึ้นแต่อาจจะไม่เพิ่มกรอบบน อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมยังควรอยู่ในระดับต่ำ เช่น จาก 0.5-3% เป็น 1-3% หรืออีกแนวทางหนึ่ง คือ การเปลี่ยนกรอบเงินเฟ้อเป็นระบบแบนด์ คือ เป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเลขตัวเดียว และมีช่วงห่างให้บวกลบ เช่น เป้าหมายเงินเฟ้ออาจจะเป็น 2% แต่บวกลบได้ 1% สรุปจะอย่างไรขึ้นกับความเห็นของ รมว.คลัง

***ระบุฝรั่งขายหุ้นลดความเสี่ยง
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวถึงตลาดหุ้นไทย ว่า นักลงทุนที่มีต้องการลดการถือครองสินทรัพย์ประเทศเกิดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงแล้วหันไปถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯมากขึ้น (Risk off) ทุกอย่างยังไม่จบและมีโอกาสจะเป็นลักษณะเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง แต่ก็คงไม่ลากยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้

ส่วนเงินบาทอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดราคาทองคำ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต่างกับประเทศอื่น เนื่องจากนักลงทุนไทยมีการซื้อขายทองคำที่ใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนต่างกับประเทศอื่นๆ ที่มีการซื้อขายทองคำ เพื่ออุตสาหกรรมหรือเป็นแค่เครื่องประดับ ทำให้เมื่อมีการซื้อขายค่อนข้างมากส่งผลให้ราคาค่อนข้างผันผวน จึงมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทด้วย

“แม้ขณะนี้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความผันผวนมากขึ้น แต่ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเอเชียยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษ เพราะมองว่าสถานการณ์ต่างๆ ยังไม่เลวร้ายมากนัก อีกทั้งในปัจจุบันธนาคารกลางในภูมิภาคนี้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นางผ่องเพ็ญ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น