แบงก์ชาติสางโจทย์ตั๋วบีอี ที่ “ธีระชัย” สั่งเรียบร้อยแล้ว เตรียมออกประกาศเพิ่มตั๋วบีอีเข้าเป็นฐานเงินฝากดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องรายเดือน 6% เพิ่มความมั่นคง สร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากเงิน ลดความผันผวนระบบการเงินและมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการไถ่ถอน ยันกระทบต้นทุนน้อยมาก
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ให้นโยบาย ธปท.ไปสร้างความมั่นคงให้กับการออกตั๋วแลกเงิน (บีอี) ของธนาคารพาณิชย์ ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ธปท.ได้อนุมัติเกณฑ์โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์นำตั๋วบีอีที่ธนาคารพาณิชย์ออกทั้งหมด ไปนับรวมเป็นในฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ในการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์รายเดือน
เดิมธนาคารพาณิชย์จะต้องสำรองเงินสด และสภาพคล่องไว้ 6% ของยอดรวมเงินฝากทุกประเภทและเงินกู้ยืมจากต่างประเทศไม่เกิน 1 ปี แต่ยังไม่รวมตั๋วบีอี เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ไม่ค่อยได้ออกตั๋วบีอีในลักษณะของการระดมเงินฝาก ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานะของธนาคารพาณิชย์ ว่าจะมีเงินสด และสภาพคล่องสำรองเพียงพอ เกณฑ์ใหม่ของธปท.ที่จะออกมา จึงให้รวมการออกตั๋วบีอี เป็นฐานเงินฝากด้วย
ทั้งนี้ เพื่อความสมดุลต่อฐานะการเงินของตัวธนาคารพาณิชย์เอง ต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน และไม่ก่อให้เกิดความผันผวนในระบบการเงินของประเทศ
นายประสาร กล่าวว่า การดูแลตั๋วบีอีของระบบธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว เป็นการประสานงานกันทั้งในส่วนของ ธปท.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ดีพีเอ) ซึ่งนอกเหนือจากเกณฑ์ของ ธปท.ที่จะออกมาแล้ว จะมีเกณฑ์การกำกับดูแลการออกตั๋วบีอีของ ก.ล.ต.เพื่อดูแลในส่วนของผู้ฝากเงินรายย่อยด้วย
ด้าน นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธปท.สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ร่างประกาศดังกล่าวดำเนินการเสร็จแล้ว และได้รับการอนุมัติจาก กนส.และผู้ว่าการ ธปท.แล้ว เกณฑ์ที่จะออกมาสอดคล้องกันทำให้การกำกับดูแลการออกตั๋วบีอีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ล่าสุด ยอดการออกตั๋วบีอีของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย มีทั้งสิ้น 1,457,700 ล้านบาท หรือประมาณ 15% ของเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ที่มี 11,073,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมากนัก แต่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกทำให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่า เมื่อมีการออกเกณฑ์ในการกำกับออกมาจะทำให้การออกตั๋วบีอีของธนาคารพาณิชย์มีความเหมาะสมมากขึ้น
ในส่วนของ ก.ล.ต.นั้น จะดูแลในเรื่องการดูแลลูกค้ารายย่อยที่เข้ามาลงทุนในตั๋วบีอี ซึ่งคาดว่า ก.ล.ต.มีหลักเกณฑ์เตรียมที่จะออกมาดูแลในเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน ส่วนดีพีเอนั้น คาดว่า จะมีมาตรการในเรื่องนี้ออกมาเช่นกัน
สำหรับผลกระทบที่จะมีต่อต้นทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น อาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากฐานะการดำเนินการในขณะนี้ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งไทยและต่างประเทศค่อนข้างดี ทำให้มีเงินสดสภาพคล่องสำรองไว้เกินกว่าที่ ธปท.กำหนด 6% ของฐานเงินฝาก
ณ วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบบธนาคารพาณิชย์ มีสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 479,350 ล้านบาท แต่มีสภาพคล่องจริงในขณะนี้สูงถึง 2,643,314 ล้านบาท โดยคาดว่า หากจะต้องมีการสำรองสินทรัพย์ในส่วนของตั๋วบีอีเพิ่ม 6% ของมูลค่าบีอีที่ออกในขณะนี้ หรือประมาณ 90,000 ล้านบาท น่าจะไม่ก่อปัญหาให้กับธนาคารพาณิชย์
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ให้นโยบาย ธปท.ไปสร้างความมั่นคงให้กับการออกตั๋วแลกเงิน (บีอี) ของธนาคารพาณิชย์ ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ธปท.ได้อนุมัติเกณฑ์โดยจะให้ธนาคารพาณิชย์นำตั๋วบีอีที่ธนาคารพาณิชย์ออกทั้งหมด ไปนับรวมเป็นในฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ในการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์รายเดือน
เดิมธนาคารพาณิชย์จะต้องสำรองเงินสด และสภาพคล่องไว้ 6% ของยอดรวมเงินฝากทุกประเภทและเงินกู้ยืมจากต่างประเทศไม่เกิน 1 ปี แต่ยังไม่รวมตั๋วบีอี เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ไม่ค่อยได้ออกตั๋วบีอีในลักษณะของการระดมเงินฝาก ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานะของธนาคารพาณิชย์ ว่าจะมีเงินสด และสภาพคล่องสำรองเพียงพอ เกณฑ์ใหม่ของธปท.ที่จะออกมา จึงให้รวมการออกตั๋วบีอี เป็นฐานเงินฝากด้วย
ทั้งนี้ เพื่อความสมดุลต่อฐานะการเงินของตัวธนาคารพาณิชย์เอง ต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน และไม่ก่อให้เกิดความผันผวนในระบบการเงินของประเทศ
นายประสาร กล่าวว่า การดูแลตั๋วบีอีของระบบธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว เป็นการประสานงานกันทั้งในส่วนของ ธปท.คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ดีพีเอ) ซึ่งนอกเหนือจากเกณฑ์ของ ธปท.ที่จะออกมาแล้ว จะมีเกณฑ์การกำกับดูแลการออกตั๋วบีอีของ ก.ล.ต.เพื่อดูแลในส่วนของผู้ฝากเงินรายย่อยด้วย
ด้าน นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการธปท.สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ร่างประกาศดังกล่าวดำเนินการเสร็จแล้ว และได้รับการอนุมัติจาก กนส.และผู้ว่าการ ธปท.แล้ว เกณฑ์ที่จะออกมาสอดคล้องกันทำให้การกำกับดูแลการออกตั๋วบีอีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ล่าสุด ยอดการออกตั๋วบีอีของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย มีทั้งสิ้น 1,457,700 ล้านบาท หรือประมาณ 15% ของเงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ที่มี 11,073,200 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมากนัก แต่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกทำให้ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่า เมื่อมีการออกเกณฑ์ในการกำกับออกมาจะทำให้การออกตั๋วบีอีของธนาคารพาณิชย์มีความเหมาะสมมากขึ้น
ในส่วนของ ก.ล.ต.นั้น จะดูแลในเรื่องการดูแลลูกค้ารายย่อยที่เข้ามาลงทุนในตั๋วบีอี ซึ่งคาดว่า ก.ล.ต.มีหลักเกณฑ์เตรียมที่จะออกมาดูแลในเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน ส่วนดีพีเอนั้น คาดว่า จะมีมาตรการในเรื่องนี้ออกมาเช่นกัน
สำหรับผลกระทบที่จะมีต่อต้นทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น อาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากฐานะการดำเนินการในขณะนี้ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งไทยและต่างประเทศค่อนข้างดี ทำให้มีเงินสดสภาพคล่องสำรองไว้เกินกว่าที่ ธปท.กำหนด 6% ของฐานเงินฝาก
ณ วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบบธนาคารพาณิชย์ มีสินทรัพย์สภาพคล่องที่ต้องดำรงคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 479,350 ล้านบาท แต่มีสภาพคล่องจริงในขณะนี้สูงถึง 2,643,314 ล้านบาท โดยคาดว่า หากจะต้องมีการสำรองสินทรัพย์ในส่วนของตั๋วบีอีเพิ่ม 6% ของมูลค่าบีอีที่ออกในขณะนี้ หรือประมาณ 90,000 ล้านบาท น่าจะไม่ก่อปัญหาให้กับธนาคารพาณิชย์
