ผู้ว่าฯ ธปท.เผยมุมมอง ศก.ครึ่งปีหลัง ยังมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ระบุ การประชุม กนง.พรุ่งนี้ มีการชั่งน้ำหนักความเสี่ยง ศก.โลก พร้อมประเมิน ศก.สหรัฐฯ ยังไม่ถึงจุดถดถอย แต่มีลักษณะ L shape W แม้นโยบายการเงินจะหมดกระสุน และนโยบายการคลัง ติดกับดักแผนลดการใช้จ่ายภาครัฐ และการขยายเพดานหนี้ ยันพร้อมร่วมมือ รบ.ดูแล ศก.แนะควรดูระยะยาว มากกว่าหวังผลระยะสั้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังผ่านสายตาผู้ว่าการแบงก์ชาติ” เนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี แห่งการสถาปนาคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 (พรุ่งนี้) กนง.จะพิจารณาให้น้ำหนักนโยบายดอกเบี้ยจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยเสี่ยงทั้งสองด้านถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าจะมีแรงส่งให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก
เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังยังมีแรงส่งให้ก้าวไปข้างหน้าได้ต่อเนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ในภาพรวมการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.1% ในปีนี้ และ 4.2% ในปีหน้า ถือว่าเป็นการเติบโตใกล้ระดับที่เต็มศักยภาพแล้ว เห็นได้ว่า ตลาดแรงงานที่ตึงตัว และมีแรงกดดันต่อต้นทุนและราคาอย่างต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่อยู่รอบด้าน จากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ
ผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจต่างมีเป้าหมายเศรษฐกิจเดียวกัน คือ การเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและทั่วถึง ซึ่ง ธปท.ได้ยึดมั่นในเป้าหมายนี้มาโดยตลอด ขณะเดียวกัน ธปท.มีหน้าที่หลักคือ การรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตยั่งยืน โดยรักษาเสถียรภาพด้านราคา ตลอดจนความมั่นคงและความมีประสิทธิภาพของระบบสถาบันการเงินและระบบการชำระเงินเพื่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน
“ทั้งเป้าหมายเศรษฐกิจของประเทศและเป้าหมายของแบงก์ชาติต่างก็เป็นเป้าหมายในระยะยาวที่ต้องอาศัยการมองไกลไปข้างหน้าทั้งสิ้น การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบโดยไม่หวังเพียงผลดีในระยะสั้นที่อาจส่งผลกระทบทางลบที่ยากจะแก้ไขในระยะยาว”
นายประสาร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงที่เปรียบเสมือนกับเมฆหมอกที่บดบังทัศนวิสัย ดังนั้น การจะเดินเครื่องต่อไปข้างหน้าจึงต้องเตรียมพร้อมรับความท้าทายต่างๆ แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจไทยต้องเจอกับความท้าทาย หรืออุปสรรคขวากหนามเพียงใด เชื่อว่าหากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐภาคธุรกิจ และทาง ธปท.มีความพร้อมในการรับมือต่อความท้าทายเหล่านั้น ก็จะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งต่อไปได้
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังและต่อเนื่องไปถึงปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีความท้าทาย 4 ด้าน ประกอบด้วย ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศ G3 ที่คาดว่าจะยังชะลอตัวต่อไปเป็นเวลานาน เนื่องจากมีปัญหาโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เศรษฐกิจสหรัฐฯมีภาคที่อยู่อาศัยและตลาดแรงงานที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่นโยบายการเงินนั้นเรียกได้ว่าหมดกระสุน เพราะลดดอกเบี้ยไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนกระสุนทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็มีจำกัดตามแผนลดการใช้จ่ายของภาครัฐ หลังการขยับเพดานหนี้ให้สูงขึ้น นอกจากนี้ การที่พันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือยังเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมที่กระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวในระยะต่อไปอีกด้วย
“การถดถอยของเศรษฐกิจหมายถึงติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส แต่คิดว่า สหรัฐฯ ยังไม่น่าถดถอย แต่กการลดการว่างงานลง 0.5-1.0% จะต้องทำให้เศรษฐกิจโตถึง 4% ตอนนี้ว่างงาน 9-10% ไม่รู้ปีไหนจะแก้ได้ การฟื้นตัวน่าจะเป็น L shapeW”
ด้านกลุ่มประเทศยูโร ยังคงมีปัญหาหนี้สาธารณะในหลายประเทศที่รอการสะสาง ซึ่งหากมีแนวทางการแก้ปัญหาที่จริงจังในระดับผู้นำประเทศและมีความชัดเจนขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่ในระยะยาวการแก้ปัญหาในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้ง่าย ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่ปัญหาอาจลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มได้อีก
สำหรับญี่ปุ่นแม้ฟื้นตัวจากภัยพิบัติในช่วงครึ่งปีแรกชัดเจนและมีการเร่งฟื้นฟูประเทศในระยะต่อไป แต่ภาครัฐก็มีกระสุนทางการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ค่อนข้างจำกัดเช่นกัน เนื่องจากมีภาระผูกพันด้านการคลังและหนี้สาธารณะในระดับสูง
จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศ G3 โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป คาดว่า จะส่งผลกระทบให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวลงได้ และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องผ่านช่องทางการค้าระหว่างประเทศมายังเอเชียรวมถึงไทยได้ เนื่องจากกลุ่ม G3 เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย
ดังนั้น การที่เศรษฐกิจกลุ่ม G3 ชะลอตัวลงอาจกระทบต่อการส่งออกของไทยบ้าง โดยผลกระทบส่วนใหญ่คาดว่าจะมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก สำหรับตลาดส่งออกในยุโรปนั้น คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบไม่มาก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.8 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และการที่ไทยมีการกระจายตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเอเชียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนกระจายสินค้าให้หลากหลายมากขึ้นจะมีส่วนช่วยลดทอนผลกระทบได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดี หากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลักไม่ลุกลามจนส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ มากนัก คาดว่า จะไม่กระทบแรงส่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากนัก แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกซึ่งขณะนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
ความท้าทายด้านที่สอง คือ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวในระดับสูง โดยมีสาเหตุที่สำคัญ 3 ประการ คือ (1) ด้านอุปสงค์หรือความต้องการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศยังขยายตัวตามเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยยังถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก (2) ด้านอุปทานหรือต้นทุนการผลิต แม้จะมีแนวโน้มแผ่วลงบ้าง จากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศหลักอย่างสหรัฐฯ และยุโรป แต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
และ (3) ด้านการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อไปได้ ทำให้ประชาชนยังคาดการณ์ว่าราคาสินค้าและบริการจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นจากแผนการใช้จ่ายของภาครัฐในระยะต่อไป และนโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ภายใต้ภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจยังเติบโตดี ผู้ประกอบการจึงยังสามารถส่งผ่านต้นทุนสินค้าไปยังผู้บริโภคได้จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง จนเติบโตในระดับใกล้เต็มศักยภาพแล้ว ประกอบกับเงินเฟ้อเร่งตัวชัดเจน นโยบายการเงินจึงจำเป็นต้องมีบทบาทช่วยชะลอไม่ให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงเกินไป
นายประสาร กล่าวว่า ที่ผ่านมา กนง.ได้ปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้ดอกเบี้ยในตลาดการเงินปรับเข้าสู่ระดับปกติ หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษมานานเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์การเงินโลก กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้แรงส่ง (momentum) ของเศรษฐกิจต้องเสียไป
แต่แม้จะได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้วแต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันยังติดลบประมาณ 0.65% นับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย การปล่อยให้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวดีแล้วย่อมไม่เป็นผลดี อาจนำไปสู่ความไม่สมดุล เช่น การออมเงินของประชาชนลดลง การใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นจนเกินตัว รวมถึงการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป นอกจากจะต้องประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อแล้ว ยังจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย เพื่อให้นโยบายการเงินสอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หากนโยบายการเงินสามารถควบคุมแรงกดดันและการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ ก็จะช่วยรักษาต้นทุนของภาคธุรกิจให้อยู่ในระดับต่ำได้ในระยะยาวได้
อย่างไรก็ดี ภาคธุรกิจควรเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อลดต้นทุนของธุรกิจ รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ อันจะเป็นการสร้างจุดแข็งของสินค้าและบริการของธุรกิจเพื่อเน้นการแข่งขันเชิงคุณภาพมากกว่าราคา ซึ่งเห็นว่าแนวทางการปรับตัวนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างเกราะป้องกันเงินเฟ้อให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง แต่ยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
ความท้าทายด้านที่สาม คือ แนวโน้มของเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาทที่ยังคงมีความผันผวน เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจของกลุ่ม G3 จะฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ลักษณะเช่นนี้จะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มจะไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นแต่อาจผันผวนได้ทั้งสองทิศทางตามภาวะตลาดในแต่ละช่วง
“ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและอาจผันผวนได้สองทิศทางยังเป็นความท้าทายที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องเตรียมพร้อมในการสร้างความคุ้นเคยในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน”
ที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าไปดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เคลื่อนไหวรุนแรง จนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและการปรับตัวของภาคธุรกิจ แต่คงฝืนแนวโน้มของตลาดไม่ได้ ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องดูแลความเสี่ยงเองด้วย โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะสั้น ซึ่งเห็นว่ เรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อธุรกิจขนาดเล็กซึ่งผลประกอบการมีความอ่อนไหวต่อค่าเงินได้มากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
ดังนั้น ธปท.จึงให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมาโดยตลอด ทั้งในแง่ของการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือต่างๆ และในแง่ของการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแนวนโยบายเกี่ยวกับการดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะยาว เพื่อเพิ่มความสมดุลของเงินทุนระหว่างขาเข้าและขาออก โดยจัดทำแผนแม่บทการเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะมีการประชุมหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นระยะๆ ภายในสิ้นปีนี้
ส่วนความท้าทายด้านสุดท้าย มาจากแนวนโยบายการคลังในระยะต่อไป ภายใต้รัฐบาลใหม่ที่มีแนวโน้มใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจขยายตัวดีใกล้เต็มศักยภาพการผลิต และมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้ออยู่แล้ว ทำให้ความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง และการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้นได้ และในระยะยาว
“ภาครัฐต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะเป็นการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจให้สามารถโตได้มากขึ้นโดยไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงช่วยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนของภาครัฐมากขึ้นด้วย (crowding in)”
หากเปรียบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเหมือนกับการขับรถยนต์ ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้เหยียบคันเร่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนพ้นจากวิกฤตมาระยะหนึ่งแล้ว การเร่งเครื่องยนต์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้เครื่องร้อนและพังเสียหายได้ ขณะนี้ภาครัฐจึงควรผ่อนคันเร่งลงบ้าง เพื่อถนอมเครื่องยนต์และประคองให้รถยนต์วิ่งอยู่ในเส้นทางได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นการขับเคลื่อนในระยะยาวภาครัฐจำเป็นต้องลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์หรือลงทุนซื้อเครื่องยนต์ใหม่มาเสริมให้มีสมรรถนะดีขึ้น
และจากบทเรียนวิกฤตหนี้ในยุโรป ตลอดจนปัญหาหนี้สาธารณะในระดับสูงของสหรัฐฯสะท้อนให้เห็นความสำคัญของวินัยทางการคลัง ซึ่งเป็นที่จับตามองมากขึ้น ภาครัฐจึงควรระมัดระวังการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจนเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลัง และกลายเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านการคลัง และความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะยาวและด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและฐานะทางการคลังของไทย
ภาครัฐจึงควรจัดลำดับความสำคัญของนโยบาย รวมทั้งทยอยดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินศักยภาพและเกิดผลกระทบรุนแรงต่อเงินเฟ้อ โดยมุ่งใช้นโยบายต่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้การใช้จ่ายเกิดประโยชน์สูงสุด และยึดกรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน ควรเร่งรัดการปฏิรูปโครงสร้างทางการคลังให้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายเพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวด้วย