"พาที" ยอมรับ ตั้งบริษัทเข้าซื้อหุ้น "นกแอร์" จริง แต่ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียด-แผนการดำเนินงาน ยันหากมีความชัดเจน จะเปิดเผยในทันที เชื่อไม่กระทบ "บินไทย" ผู้ถือหุ้นใหญ่
นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินนกแอร์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ตนเอง และกลุ่มผู้บริหาร ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท นกแอร์ แมนเนจเมนท์ จำกัด เพื่อถือหุ้นใหญ่ 25% โดยยอมรับกับสื่อมวลชนว่า ตนเองได้จดทะเบียนตั้งบริษัทดังกล่าวจริง เพื่อเตรียมซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์ แต่ยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดแผนการดำเนินงาน เพราะต้องใช้เวลาดำเนินการอีกระยะหนึ่ง โดยจะเปิดเผยรายละเอียดทุกอย่างเมื่อมีความชัดเจน
โดยก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า นายพาที และนายปิยะ ยอดมณี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทดังกล่าว และได้มีการเจรจากับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนเปิดไทยทวีทุน เพื่อขอซื้อหุ้นนกแอร์ จำนวนรวม 25% ในราคาหุ้นละ 33 บาท เป็นเงิน 412.5 ล้านบาท โดยการซื้อหุ้นดังกล่าว ส่งผลให้นกแอร์ แมนเนจเมนท์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสายการบินนกแอร์ รองจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่มีสัดส่วนหุ้น 39%
ทั้งนี้ คาดกันว่าการซื้อหุ้นนกแอร์ของกลุ่มนายพาที จะไม่ส่งผลกระทบต่อการถือหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แม้ก่อนหน้านี้ บริษัทการบินไทยมีแผนเพิ่มสัดส่วนหุ้นในนกแอร์เป็น 49% โดยการซื้อหุ้นจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพิ่มอีก 10% ในราคาหุ้นละ 30 บาท แต่ธนาคารกรุงไทยต้องการขายในราคาหุ้นละ 44 บาท ส่งผลให้การเจรจาซื้อหุ้นไม่ประสบผลสำเร็จ
ด้านนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทิพยประกันภัย ยอมรับว่า ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ 10% ในสายการบินนกแอร์ให้กลุ่มของนายพาที ซึ่งการตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าว เพราะจนถึงขณะนี้ บริษัทยังไม่มีกำไรใดๆ จากการลงทุนในสายการบินนกแอร์ ซึ่งการขายหุ้นดังกล่าวจะทำให้บริษัทพอมีกำไรบ้าง โดยการขายหุ้นพร้อมกับ กบข.ถือว่าได้ราคาดี บริษัทจึงตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าว
ส่วนการที่บริษัทไม่ขายหุ้นในนกแอร์ให้กับบริษัทการบินไทย ซึ่งมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนหุ้นในนกแอร์จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนหุ้น 39% นั้น เป็นเพราะที่ผ่านมาการบินไทยไม่ได้มาเจรจาหรือติดต่อขอซื้อหุ้นจากบริษัทแต่อย่างใด ซึ่งเข้าใจว่าการบินไทยคงมุ่งให้ความสำคัญกับการจัดตั้งสายการบินไทย ไทเกอร์ แอร์เวย์ส มากกว่า
ด้านนางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กบข. กล่าวว่า สาเหตุที่ กบข.ตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่ 10% ในสายการบินนกแอร์ให้กับกลุ่มของนายพาที เพราะเห็นว่าธุรกิจการบินมีความผันผวนจากราคาน้ำมัน และนกแอร์เคยประสบปัญหาการขาดทุนในอดีต แต่ปัจจุบันเริ่มดีขึ้นแล้ว โดยการขายหุ้นดังกล่าวเป็นการขายในราคาที่มีกำไรจากการลงทุนในระดับหนึ่ง
ส่วนการขายหุ้นนกแอร์ให้กลุ่มของนายพาที แทนการขายให้บริษัทการบินไทย เป็นเพราะที่ผ่านมา บริษัทการบินไทยไม่เคยติดต่อซื้อหุ้นนกแอร์จาก กบข. มีเพียงกลุ่มของนายพาที ที่มาเจรจาขอซื้อหุ้นและในเบื้องต้นทราบว่าบริษัทการบินไทยมีความประสงค์จะซื้อหุ้นนกแอร์ในส่วนที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถืออยู่ 10% เท่านั้น
ดังนั้นหากบริษัทการบินไทยจะซื้อหุ้นจาก กบข.อีก 10% จะส่งผลให้สัดส่วนหุ้นบริษัทการบินไทยเพิ่มเป็น 49% เมื่อรวมกับหุ้นที่จะซื้อจากธนาคารกรุงไทยอีก 10% เท่ากับว่าสัดส่วนหุ้นบริษัทการบินไทยในนกแอร์จะเพิ่มเป็น 59% ส่งผลให้นกแอร์มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจทันที