กระทรวงคลังกระเพื่อม! ข้าราชการตระกูลชิน คัมแบ็ก “ธีระชัย” ปูนบำเหน็จอดีตมือภาษีสรรพากร 1 ในคณะทำงานภาษีชินคอร์ป “รวิฐา พงศ์นุชิต” ขึ้นเก้าอี้ใหม่ “Chief of Staff” ทั้งๆ ที่เกษียณอายุไปแล้ว อ้างเป็นลูกหม้อทำหน้าที่ประสานทุกเรื่องของ รมว.คลัง ข้าราชการหวั่นการเมืองบี้ให้รับใช้
ภายหลังที่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง และ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เข้ารับตำแหน่งและมอบนโยบายแก้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังแล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายธีระชัย ได้ส่งหนังสือเวียนผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail แจ้งแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังทุกระดับเพื่อแจ้งนโยบายอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง
ประเด็นที่น่าสังเกต ในช่วงต้นของจดหมายฉบับดังกล่าวนายธีระชัย ได้แนะนำตัว นางรวิฐา พงศ์นุชิต อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ให้เป็นผู้ประสานงานส่วนตัวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยระบุว่าเป็นตำแหน่ง “Chief of Staff” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงการคลังที่มีการแต่งตั้งตำแหน่ง “Chief of Staff” นี้ขึ้นมา
ในจดหมายระบุข้อความดังกล่าวว่า “ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำ คุณรวิฐา พงศ์นุชิต ซึ่งจะเป็นผู้ประสานในทุกเรื่องที่เป็นภารกิจของรัฐมนตรีว่าการ ในฐานะ Chief of Staff ผมคงไม่ต้องแนะนำท่าน เพราะท่านเป็นศิษย์เก่าของกระทรวงการคลัง ผมจึงมั่นใจว่า ท่านจะทำให้การประสานงานต่างๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”
จดหมายฉบับนี้ยังระบุถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆ ที่รัฐมนตรีทั้ง 3 ที่เข้ามารับตำแหน่งจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนโดยจะดำเนินการตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งและจะพิจารณาตามความถี่ถ้วนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับวินัยการคลัง นายธีระชัยกล่าวว่า เป็นมือใหม่ในทางการเมือง แต่ก็ตั้งใจและจริงใจเกินร้อย พร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งหมดมาทำงานร่วม เพื่อให้กระทรวงคลังสามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง
“ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยกับนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย แต่ก็ต้องพิจารณาในระดับกระทรวง เพื่อให้แน่ใจว่า ความมุ่งหมายทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีนั้น มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับความยั่งยืนทางการคลังไปด้วย ผมจึงขอให้เจ้าหน้าที่พิจารณาเรื่องต่างๆ อย่างอิสระและให้ความเห็นแก่ผมอย่างตรงไปตรงมา” นายธีระชัยกล่าว
อนึ่ง นางรวิฐา พงศ์นุชิต เกษียณอายุเมื่อ ต.ค.53 ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ชื่อเดิม “ไพฑูรย์ พงษ์เกสร” เมื่อปี 50 เคยถูกกล่าวหาจาก คตส.ข้อหาพัวพันกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อครั้งเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร
รายงานข่าวแจ้งว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังมีความกังวลว่า การที่ นายธีระชัย แต่งตั้ง นางรวิฐา พงศ์นุชิต หรือชื่อเดิม นางไพฑูรย์ พงษ์เกสร อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วนั้นเขามมาเป็น Chief of Staff ที่เป็นตำแหน่งพิเศษในครั้งนี้อาจมีนัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และอาจส่งผลต่อการทำงานของข้าราชการที่ไม่ฝักใฝ่การเมือง
“นางรวิฐา ถือเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องอื้อฉาวกรณี นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาทจากบริษัท Ample Rich Investment Limited ซึ่งอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปและมีการตัดสินยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท”
แม้ว่า นางรวิฐา จะไม่ถูกกล่าวโทษและรอดพ้นจากทุกคดีที่เกี่ยวข้องจากหุ้นชินคอร์ปแต่สายสัมพันธ์ตั้งแต่คำสั่งอายัดทรัพย์ของกรมสรรพากร การบินไปสิงคโปร์พร้อมอดีตนายกรัฐมนตรีแม้กระทั่งการเชื่อมโยงไปถึงการเรียนร่วมรุ่นของสถาบันวิทยาการตลาดทุนรุ่นที่ 3 ระหว่างนางรวิฐา และ นายธีระชัย จึงทำให้มีความไว้วางใจและสามารถทำงานที่สำคัญๆ ตามที่ได้รับมอบหมายได้
ภายหลังที่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง และ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เข้ารับตำแหน่งและมอบนโยบายแก้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังแล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายธีระชัย ได้ส่งหนังสือเวียนผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail แจ้งแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังทุกระดับเพื่อแจ้งนโยบายอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง
ประเด็นที่น่าสังเกต ในช่วงต้นของจดหมายฉบับดังกล่าวนายธีระชัย ได้แนะนำตัว นางรวิฐา พงศ์นุชิต อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ให้เป็นผู้ประสานงานส่วนตัวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยระบุว่าเป็นตำแหน่ง “Chief of Staff” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งกระทรวงการคลังที่มีการแต่งตั้งตำแหน่ง “Chief of Staff” นี้ขึ้นมา
ในจดหมายระบุข้อความดังกล่าวว่า “ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำ คุณรวิฐา พงศ์นุชิต ซึ่งจะเป็นผู้ประสานในทุกเรื่องที่เป็นภารกิจของรัฐมนตรีว่าการ ในฐานะ Chief of Staff ผมคงไม่ต้องแนะนำท่าน เพราะท่านเป็นศิษย์เก่าของกระทรวงการคลัง ผมจึงมั่นใจว่า ท่านจะทำให้การประสานงานต่างๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”
จดหมายฉบับนี้ยังระบุถึงภารกิจหน้าที่ต่างๆ ที่รัฐมนตรีทั้ง 3 ที่เข้ามารับตำแหน่งจะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนโดยจะดำเนินการตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้งและจะพิจารณาตามความถี่ถ้วนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับวินัยการคลัง นายธีระชัยกล่าวว่า เป็นมือใหม่ในทางการเมือง แต่ก็ตั้งใจและจริงใจเกินร้อย พร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ทั้งหมดมาทำงานร่วม เพื่อให้กระทรวงคลังสามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง
“ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยกับนโยบายต่างๆ ของพรรคเพื่อไทย แต่ก็ต้องพิจารณาในระดับกระทรวง เพื่อให้แน่ใจว่า ความมุ่งหมายทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีนั้น มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับความยั่งยืนทางการคลังไปด้วย ผมจึงขอให้เจ้าหน้าที่พิจารณาเรื่องต่างๆ อย่างอิสระและให้ความเห็นแก่ผมอย่างตรงไปตรงมา” นายธีระชัยกล่าว
อนึ่ง นางรวิฐา พงศ์นุชิต เกษียณอายุเมื่อ ต.ค.53 ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ชื่อเดิม “ไพฑูรย์ พงษ์เกสร” เมื่อปี 50 เคยถูกกล่าวหาจาก คตส.ข้อหาพัวพันกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป เมื่อครั้งเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร
รายงานข่าวแจ้งว่า ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังมีความกังวลว่า การที่ นายธีระชัย แต่งตั้ง นางรวิฐา พงศ์นุชิต หรือชื่อเดิม นางไพฑูรย์ พงษ์เกสร อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วนั้นเขามมาเป็น Chief of Staff ที่เป็นตำแหน่งพิเศษในครั้งนี้อาจมีนัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง และอาจส่งผลต่อการทำงานของข้าราชการที่ไม่ฝักใฝ่การเมือง
“นางรวิฐา ถือเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องอื้อฉาวกรณี นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซื้อหุ้นชินคอร์ป จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาทจากบริษัท Ample Rich Investment Limited ซึ่งอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปและมีการตัดสินยึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท”
แม้ว่า นางรวิฐา จะไม่ถูกกล่าวโทษและรอดพ้นจากทุกคดีที่เกี่ยวข้องจากหุ้นชินคอร์ปแต่สายสัมพันธ์ตั้งแต่คำสั่งอายัดทรัพย์ของกรมสรรพากร การบินไปสิงคโปร์พร้อมอดีตนายกรัฐมนตรีแม้กระทั่งการเชื่อมโยงไปถึงการเรียนร่วมรุ่นของสถาบันวิทยาการตลาดทุนรุ่นที่ 3 ระหว่างนางรวิฐา และ นายธีระชัย จึงทำให้มีความไว้วางใจและสามารถทำงานที่สำคัญๆ ตามที่ได้รับมอบหมายได้
