หุ้นร่วง/ทองคำพุ่ง รับสหรัฐฯโดนหั่นเครดิตความน่าเชื่อถือ ทั้งวันดัชนีอยู่แต่ในแดนลบแรงจัดกว่า 31 จุด ก่อนรีบาวนด์ขึ้นมาปิดลบ 15 จุด ตลาดหลักทรัพย์-โบรกเกอร์ ติดตามข่าวสารใกล้ชิด ระมัดระวังการลงทุน ชี้ แม้เม็ดเงินไหลออกจากอเมริกาและยุโรป แต่ใช่ว่าจะเข้าตลาดทุนในเอเชียหมด โดยทองคำมาแรงจัดเม็ดเงินสะพัดเข้าสะสมเพื่อความปลอดภัย ดันราคาในประเทศปรับเปลี่ยน 10 รอบ เพิ่มขึ้น 650 บาทต่อทองคำ 1 บาท เตือนระวังแรงขายทำกำไร
จากกรณีที่สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับเครดิต ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงหนัก รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวผันผวนมาก โดยเมื่อปิดตลาดการซื้อขายในช่วงช่วง ดัชนีลดลง 31.61 จุด แต่พอเข้าสู่การซื้อขายในช่วงบ่ายดัชนีได้รีบาวน์กลับขึ้นมาในแดนลบ เหลือลดลง 15.19 จุด หรือ -1.39% เมื่อปิดตลาด โดยอยู่ที่ระดับ 1,078.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,010.54 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 1,078.19 จุด ต่ำสุด 1,061.69 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่ 1-2% เนื่องจากได้ปรับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ และจากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐฯลง 1 ขั้นจาก AAA สู่ AA+ เป็นผลจากความวิตกเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณ และภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทางอ้อม จากผลดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นลูกโซ่
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากที่ไทยมีการส่งออกตรงไปสหรัฐฯไม่มาก แต่ต้องดูว่าจะมีผลกระทบทางอ้อมอย่างไรบ้าง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งนักลงทุนอย่าได้ตื่นตระหนก โดยควรพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเป็นหลัก และติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ ยุโรป จะไหลเข้าประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย หรือไม่ ยังเร็วไปที่จะประเมิน ต้องรอดูผลกระทบอีกระยะหนึ่งก่อน
**นายกสมาคมโบรกฯแนะชะลอการลงทุน
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะมีความผันผวน จากมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และภายในประเทศ แม้จะมีรัฐบาลใหม่แล้วแต่ต้องดูในเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศว่าจะสามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่
สำหรับนักลงทุนช่วงนี้ควรที่จะชะลอการลงทุนก่อน ไม่ควรรีบร้อนในการเข้าไปลงทุนเพราะ ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ถือว่าเปราะบางมาก ซึ่งหากมีปัจจัยลบที่ไม่คาดฝันเข้ามา อาจจะมีการผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงไปได้ และต้องติดตามว่า ทางสหรัฐฯจะมีการแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้นั้นควรที่จะมีการลงทุนในระยะสั้น มากขึ้น โดยปัจจุบันนี้ทางผู้บริหารกองทุนต่างประเทศนั้นมีการลดการลงทุนในหุ้นลงจากที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้เม็ดเงินจากทางยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะใกล้เข้ามาลงทุนในเอเซีย นั้น อาจจะเข้ามาลงทุนไม่มากเหมือนที่คาดไว้ เพราะเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ ทองคำ หรือ สินค้าอื่นๆ
ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นในวานนี้ปรับตัวในแดนลบในช่วงเช้าตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากปัจจัยความกังวลสถานการณ์ของสหรัฐ หลังสหรัฐฯ ถูกลดเครดิต แต่ตลาดหุ้นในช่วงบ่าย มีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนตลาดจากความคาดหวังว่าการเรียกประชุมฉุกเฉินของกลุ่มสหภาพยุโรป จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อป้องกันการลามของหนี้ในประเทศสเปน และอิตาลี ในคืนนี้ คาดว่า จะออกมาดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดกลับมารีบาวนด์ได้ รวมทั้งการเข้ามาเก็งกำไรการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 9 ส.ค.ที่จะมีมาตรการช่วยเหลือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (6 ส.ค.) มองว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆในแดนลบ แต่คงไม่ลงแรง และมีโอกาสที่จะรีบาวนด์ในช่วงสั้นได้ พร้อมให้แนวรับ 1,060 จุด แนวต้าน 1,085-1,090 จุด
**ทองคำทำสถิติใหม่บวกเพิ่ม 650 บาท
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้งในรอบไม่ถึงสัปดาห์ โดยวานนี้ (8 ส.ค.) ราคาทองคำมีการปรับเปลี่ยนถึง 10 ครั้ง ก่อนจะปิดท้ายที่ ทองคำแท่งรับซื้อ 24,050 บาท และขายออก 24,150 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อ 23,695 บาท ขายออก 24,550 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวันคิดเป็น 650 บาทต่อน้ำหนักทองคำ 96.5% ที่ 1 บาท
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดทั้งตลาดในและต่างประเทศหลังอเมริการโดนปรับลด อันดับความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้เกิดการเข้าซื้อทองคำระยะสั้นจาก 2 ส่วนหลักๆ คือ 1.การซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากข่าว และ 2.การที่ตลาดมีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนที่เปิดสัญญา short ไว้ในช่วงก่อน ซึ่งจากทั้งสองปัจจัยทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
ทั้งนี้ มุมมองของทองคำระยะสั้น น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ เพราะปัจจัยข้างต้นจะยังมีผลต่อความ เชื่อมั่นโดยรวมของการลงทุนทั่วโลกใน ด้านความเสี่ยง จึงแนะนำให้สะสม long เมื่อราคาปรับลด ลง และควรติดตามข่าวเรื่องแนวทางแก้ไขของอเมริกาอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจจะทำให้ราคาทองคำผันผวนหลังตลาดรับข่าวไปแล้ว
จากกรณีที่สหรัฐฯถูกปรับลดอันดับเครดิต ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงหนัก รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวผันผวนมาก โดยเมื่อปิดตลาดการซื้อขายในช่วงช่วง ดัชนีลดลง 31.61 จุด แต่พอเข้าสู่การซื้อขายในช่วงบ่ายดัชนีได้รีบาวน์กลับขึ้นมาในแดนลบ เหลือลดลง 15.19 จุด หรือ -1.39% เมื่อปิดตลาด โดยอยู่ที่ระดับ 1,078.19 จุด มูลค่าการซื้อขาย 41,010.54 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 1,078.19 จุด ต่ำสุด 1,061.69 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ที่ 1-2% เนื่องจากได้ปรับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ และจากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐฯลง 1 ขั้นจาก AAA สู่ AA+ เป็นผลจากความวิตกเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณ และภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทางอ้อม จากผลดังกล่าวน่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกเป็นลูกโซ่
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากที่ไทยมีการส่งออกตรงไปสหรัฐฯไม่มาก แต่ต้องดูว่าจะมีผลกระทบทางอ้อมอย่างไรบ้าง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งนักลงทุนอย่าได้ตื่นตระหนก โดยควรพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเป็นหลัก และติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากสหรัฐฯ ยุโรป จะไหลเข้าประเทศในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทย หรือไม่ ยังเร็วไปที่จะประเมิน ต้องรอดูผลกระทบอีกระยะหนึ่งก่อน
**นายกสมาคมโบรกฯแนะชะลอการลงทุน
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงนี้จะมีความผันผวน จากมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกจากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และภายในประเทศ แม้จะมีรัฐบาลใหม่แล้วแต่ต้องดูในเรื่องนโยบายในการบริหารประเทศว่าจะสามารถทำได้ตามที่หาเสียงไว้หรือไม่
สำหรับนักลงทุนช่วงนี้ควรที่จะชะลอการลงทุนก่อน ไม่ควรรีบร้อนในการเข้าไปลงทุนเพราะ ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ถือว่าเปราะบางมาก ซึ่งหากมีปัจจัยลบที่ไม่คาดฝันเข้ามา อาจจะมีการผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงไปได้ และต้องติดตามว่า ทางสหรัฐฯจะมีการแก้ปัญหาอย่างไร ส่วนนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้นั้นควรที่จะมีการลงทุนในระยะสั้น มากขึ้น โดยปัจจุบันนี้ทางผู้บริหารกองทุนต่างประเทศนั้นมีการลดการลงทุนในหุ้นลงจากที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้เม็ดเงินจากทางยุโรป และสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะใกล้เข้ามาลงทุนในเอเซีย นั้น อาจจะเข้ามาลงทุนไม่มากเหมือนที่คาดไว้ เพราะเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ ทองคำ หรือ สินค้าอื่นๆ
ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นในวานนี้ปรับตัวในแดนลบในช่วงเช้าตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากปัจจัยความกังวลสถานการณ์ของสหรัฐ หลังสหรัฐฯ ถูกลดเครดิต แต่ตลาดหุ้นในช่วงบ่าย มีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนตลาดจากความคาดหวังว่าการเรียกประชุมฉุกเฉินของกลุ่มสหภาพยุโรป จะมีแนวทางในการแก้ปัญหาเพื่อป้องกันการลามของหนี้ในประเทศสเปน และอิตาลี ในคืนนี้ คาดว่า จะออกมาดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดกลับมารีบาวนด์ได้ รวมทั้งการเข้ามาเก็งกำไรการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 9 ส.ค.ที่จะมีมาตรการช่วยเหลือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (6 ส.ค.) มองว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆในแดนลบ แต่คงไม่ลงแรง และมีโอกาสที่จะรีบาวนด์ในช่วงสั้นได้ พร้อมให้แนวรับ 1,060 จุด แนวต้าน 1,085-1,090 จุด
**ทองคำทำสถิติใหม่บวกเพิ่ม 650 บาท
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงมีผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่อีกครั้งในรอบไม่ถึงสัปดาห์ โดยวานนี้ (8 ส.ค.) ราคาทองคำมีการปรับเปลี่ยนถึง 10 ครั้ง ก่อนจะปิดท้ายที่ ทองคำแท่งรับซื้อ 24,050 บาท และขายออก 24,150 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อ 23,695 บาท ขายออก 24,550 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวันคิดเป็น 650 บาทต่อน้ำหนักทองคำ 96.5% ที่ 1 บาท
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดทั้งตลาดในและต่างประเทศหลังอเมริการโดนปรับลด อันดับความน่าเชื่อถือ ส่งผลให้เกิดการเข้าซื้อทองคำระยะสั้นจาก 2 ส่วนหลักๆ คือ 1.การซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากข่าว และ 2.การที่ตลาดมีแรงซื้อกลับจากนักลงทุนที่เปิดสัญญา short ไว้ในช่วงก่อน ซึ่งจากทั้งสองปัจจัยทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน
ทั้งนี้ มุมมองของทองคำระยะสั้น น่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ เพราะปัจจัยข้างต้นจะยังมีผลต่อความ เชื่อมั่นโดยรวมของการลงทุนทั่วโลกใน ด้านความเสี่ยง จึงแนะนำให้สะสม long เมื่อราคาปรับลด ลง และควรติดตามข่าวเรื่องแนวทางแก้ไขของอเมริกาอย่างต่อเนื่องซึ่งอาจจะทำให้ราคาทองคำผันผวนหลังตลาดรับข่าวไปแล้ว