xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรูดต่อ 14 จุด-ตลาดบอนด์เงินไหลออก ตลท.จี้เร่งตั้งรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยรูดต่ออีก 14 จุด จากความกังวลวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป โดยเฉพาะอิตาลี ที่จ่อถูกปรับลดอันดับเครดิต ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ระบุการเคลื่อนไหวของดัชนีเป็นไปตามตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก ชี้ เม็ดเงินไหลออกไปตลาดบอนด์จำนวนมาก เชื่อหากได้รัฐบาลใหม่เร็วจะเป็นปัจจัยกระตุ้นดัชนีขยับตัว แต่โบรกฯวันนี้ (13 ก.ค.) ลงต่อ

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 ก.ค.) เคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ หลังสถาบันจัดอันดับออกมาขู่ปรับลดเครดิตเรทติ้งอิตาลี สร้างความกังวลต่อนักลงทุน โดยปิดที่ระดับ 1,062.39 จุด ลดลง 14.85 จุด หรือ-1.38% มูลค่าการซื้อขาย 28,202 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,071.21 จุด และต่ำสุด 1,059.78 จุด

นักลงทุนต่าชาติขายสุทธิ 2,966.45 ล้านบาท ตามมาด้วยสถาบัน ซึ่งขายสุทธิ 1,071.58 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 482.09 ล้านบาท โดยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 4,520.13 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,027.69 ล้านบาท ปิดที่ 329.00 บาท ลดลง 2.00 บาท PTTCH มูลค่าการซื้อขาย 1,744.53 ล้านบาท ปิดที่ 156.50 บาท ลดลง 3.00 บาท BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,382.18 ล้านบาท ปิดที่ 159.50 บาท ลดลง 3.50 บาท TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,299.72 ล้านบาท ปิดที่ 71.75 บาท ลดลง 0.75 บาท และ BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,158.24 ล้านบาท ปิดที่ 706.00 บาท ลดลง 10.00 บาท

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ คาดว่า จะปรับตัวตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งการที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงนี้เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยความกังวลปัญหาหนี้ยุโรป ที่จะมีผลกดดันตลาดหุ้น และจากปัญหาดังกล่าวทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในหุ้นทั่วโลกไหลออกไปลงทุนในตลาดบอร์ดแทน ทำให้มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกเบาบางลงไปในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ถือว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ จากมีปัจจัยบวกทางด้านการเมือง

ทั้งนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโต เชื่อว่า จะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่เมื่อนักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดบอนด์มาก ทำให้ราคาบอนด์แพงเกินไปแล้ว เชื่อว่า นักลงทุนจะหันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งส่วนตัวมองว่าเดิมจะใช้เวลาไม่นานแต่พอมีความกังวลปัญหาหนี้ยุโรป เชื่อว่า กว่านักลงทุนจะหันกับมาลงทุนในตลาดหุ้นคงใช้เวลาหลายสัปดาห์จากนี้

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกนั้น บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในตลาดรองแล้วจำนวน 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ที่ตั้งไว้ปีนี้จะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท ขณะการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ (มาร์เกตแคป) ของหุ้นใหม่ที่เข้าจดทะเบียน (IPO) ปีนี้ที่ 1 แสนล้านบาท คาดว่า น่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท ส่วนมูลค่าการซื้อขายถือว่าเป็นไปตามเป้า มีมูลค่าเฉลี่ยต่อวันประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ลงลง แต่ลงแค่ 1.5% ถือว่าแข็งแกร่งกว่าที่คาด ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียลงมากกว่า 2-2.5% จากความกังวลเรื่องปัญหาหนี้สินที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะลุกลามไปที่อิตาลีซึ่งเป็นประเทศใหญ่อันดับ 3 ของยุโรป ตอนนี้มีความกังวลเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีที่อาจจะถูกปรับลดลงจาก S&P และ มูดีส์ และถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้เกิดแรงขายลดความเสี่ยงอย่างที่เห็นจากกรีซ แต่อิตาลีค่อนข้างใหญ่จึงมีความกังวลมากกว่า

ทำให้มองในระยะสั้นว่า ตลาดหุ้นคงจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปถึงวันนี้ (13 ก.ค.) ด้วยเนื่องจากวันนี้ราคาหุ้นพลังงานค่อนข้างแข็ง เช่น กลุ่ม PTT ปรับลงน้อยทำให้ตลาดไทยลงน้อยกว่าเพื่อนบ้านแต่ถ้าใน 1-2 วันนี้ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องปัญหาหนี้สินในอิตาลี คิดว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการปรับพอร์ตขายออกมามากขึ้น

“ในวันนี้ถ้าปัจจัยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเชื่อว่าตลาดมีช่วงของการปรับตัวลงได้บ้าง แต่ไม่แรงมาก มองแนวรับ 1,050 จุด” นายรักพงษ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น