หุ้นไทยร่วง 4 จุด ตามภูมิภาค จากความกังวลส่อถูกลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ แม้จะได้รับการอนุมัติเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก แต่นักลงทุนชาติยังเข้าซื้อสุทธิไม่หยุด สวนทางสถาบันที่ขายต่อเนื่องอีก 3 พันล้าน รวมตั้งแต่ต้นปีขายไปแล้ว 2.2 หมื่นล้านบาท โบรกฯคาดภาพรวมวันนี้ ดัชนียังมีโอกาสพักฐานต่อ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ที่ยังกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะสามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้แล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือในพันธบัตรรัฐบาล เป็นผลให้ปิดที่ระดับ 1,139.61 จุด ลดลง 4.53 จุด หรือ -0.40% มูลค่าการซื้อขาย 33,963.71 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,145.37 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,133.54 จุด
ขณะเดียวกัน พบว่า ในการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน กลุ่มสถาบันยังขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยขายอีก 3,059.79 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิสะสม 22,195.46 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 3,712.14 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีกลายเป็นผู้ซื้อสุทธิสะสม 31,160.09 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 190 หลักทรัพย์ ลดลง 285 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 128 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,905.50 ล้านบาท ปิดที่ 46.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,670.11 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท ลดลง 2.50 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,081.70 ล้านบาท ปิดที่ 20.50 บาท ลดลง 0.40 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,071.84 ล้านบาท ปิดที่ 139.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,067.73 ล้านบาท ปิดที่ 348.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวลง 116.66 จุด หรือ 1.34% ปิดที่ 8,584.72 จุด, ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ลดลง 64.20 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 4,433.60 จุด, ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดลดลง120.42 จุด หรือ 1.21% แตะที่ 9,844.59 จุด
ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ลดลง 51.04 จุด หรือ 2.35% ปิดที่ 2,121.27 จุด ,ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนลดลง 0.91% ปิดที่ 2,679.26 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลดลง 0.59% ปิดที่ 11,932.04 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 241.91 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 22,421.46 จุด
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ย่อตัวลงตามตลาดทั่วโลก เป็นผลจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯเพิ่งมีข่าวดีจากการปรับเพิ่มเพดานหนี้
ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ ลดระดับความกังวลลงเป็นลำดับ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/54 หลายแห่งออกมาดี ซึ่งทำให้โบรกเกอร์มีการปรับประมาณการผลประกอบการและราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น
ภาพรวมมองว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้ว ดังนั้นต้องรอดูว่าจะสามารถประคองตัวที่เส้นค่าเฉลี่ย 5 วันที่ระดับ 1,137 จุด ได้ไหม อีกทั้งยังต้องจับตาดูเรื่องการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก, โฉมหน้ารัฐบาลใหม่ และต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลด้วยว่าจะทำได้หรือไม่ จึงมีผลให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (3 ส.ค.) คาดว่า ดัชนีจะแกว่งในกรอบ โดยมีแนวรับ 1,137-1,125 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,150 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า วานนี้ หุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐานในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ภาพรวมหุ้นในภูมิภาคเอเชียซึ่งรวมถึงไทยจะได้ประโยชน์จากที่สหรัฐฯและยุโรปยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งข่าวลบของประเทศเหล่านั้น จะเป็นปัจจัยบวกที่นำเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้บรรยากาศภายในประเทศโดยเฉพาะประเด็นการเมืองไทย ก็มีความแข็งแกร่ง ทำให้คาดว่าในวันนี้ (3 ส.ค.) ดัชนีจะยังอยู่ในช่วงการปรับฐานต่อ เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นปรับขึ้นมาติดต่อกันหลายวัน แต่ระยะยาวดัชนีหุ้นยังอยู่แนวโน้มขาขึ้น และพร้อมจะทดสอบแนวต้านที่กรอบ 1,150-1,157 จุด และแนวรับที่ 1,135 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ที่ยังกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะสามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้แล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือในพันธบัตรรัฐบาล เป็นผลให้ปิดที่ระดับ 1,139.61 จุด ลดลง 4.53 จุด หรือ -0.40% มูลค่าการซื้อขาย 33,963.71 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1,145.37 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,133.54 จุด
ขณะเดียวกัน พบว่า ในการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน กลุ่มสถาบันยังขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยขายอีก 3,059.79 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิสะสม 22,195.46 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 3,712.14 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นปีกลายเป็นผู้ซื้อสุทธิสะสม 31,160.09 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 190 หลักทรัพย์ ลดลง 285 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 128 หลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,905.50 ล้านบาท ปิดที่ 46.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,670.11 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท ลดลง 2.50 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,081.70 ล้านบาท ปิดที่ 20.50 บาท ลดลง 0.40 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,071.84 ล้านบาท ปิดที่ 139.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,067.73 ล้านบาท ปิดที่ 348.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปรับตัวลง 116.66 จุด หรือ 1.34% ปิดที่ 8,584.72 จุด, ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ลดลง 64.20 จุด หรือ 1.4% ปิดที่ 4,433.60 จุด, ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดลดลง120.42 จุด หรือ 1.21% แตะที่ 9,844.59 จุด
ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ลดลง 51.04 จุด หรือ 2.35% ปิดที่ 2,121.27 จุด ,ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนลดลง 0.91% ปิดที่ 2,679.26 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นลดลง 0.59% ปิดที่ 11,932.04 จุด และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 241.91 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 22,421.46 จุด
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ย่อตัวลงตามตลาดทั่วโลก เป็นผลจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯออกมาแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯเพิ่งมีข่าวดีจากการปรับเพิ่มเพดานหนี้
ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศ ลดระดับความกังวลลงเป็นลำดับ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/54 หลายแห่งออกมาดี ซึ่งทำให้โบรกเกอร์มีการปรับประมาณการผลประกอบการและราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น
ภาพรวมมองว่า ดัชนีปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้ว ดังนั้นต้องรอดูว่าจะสามารถประคองตัวที่เส้นค่าเฉลี่ย 5 วันที่ระดับ 1,137 จุด ได้ไหม อีกทั้งยังต้องจับตาดูเรื่องการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก, โฉมหน้ารัฐบาลใหม่ และต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลด้วยว่าจะทำได้หรือไม่ จึงมีผลให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (3 ส.ค.) คาดว่า ดัชนีจะแกว่งในกรอบ โดยมีแนวรับ 1,137-1,125 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,150 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า วานนี้ หุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐานในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ภาพรวมหุ้นในภูมิภาคเอเชียซึ่งรวมถึงไทยจะได้ประโยชน์จากที่สหรัฐฯและยุโรปยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งข่าวลบของประเทศเหล่านั้น จะเป็นปัจจัยบวกที่นำเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้บรรยากาศภายในประเทศโดยเฉพาะประเด็นการเมืองไทย ก็มีความแข็งแกร่ง ทำให้คาดว่าในวันนี้ (3 ส.ค.) ดัชนีจะยังอยู่ในช่วงการปรับฐานต่อ เนื่องจากก่อนหน้านี้หุ้นปรับขึ้นมาติดต่อกันหลายวัน แต่ระยะยาวดัชนีหุ้นยังอยู่แนวโน้มขาขึ้น และพร้อมจะทดสอบแนวต้านที่กรอบ 1,150-1,157 จุด และแนวรับที่ 1,135 จุด