บอร์ด " ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า " ไฟเขียวจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นอัตรา 6.50 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่าย 4 สิงหาคมนี้ หลังอวดผลงานปี 53 กวาดกำไรกว่า 1.4 พันล้านบาท หรือพุ่งเกือบ 50% จากปี 52 ที่ทำไว้ 954 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับนำระบบ SNAP มาใช้ทำให้เพิ่มผลผลิตและลดความสูญเปล่ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ลดทั้งค่าใช้จ่ายและต้นทุนต่อเนื่อง
นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2554 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 54 ว่าบอร์ดอนุมัติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 54 พิจารณาอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 6.50 บาท เท่ากับ 36.37 % ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรสุทธิ จากกิจการที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน รวมเป็นเงินปันผล 498,062,500 บาท
กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 18 กรกฎาคม 54 และให้รวบรวมรายชื่อตาม ม. 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 54 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 54 พร้อมกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 8 กรกฎาคม 54 ณ อาคารสำนักงานบริษัท
การจ่ายปันผลดังกล่าว เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาสนี้บริษัทปี 53 ( 1 เมษายน 53 - 31 มีนาคม 54 ) โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 49.12% หรือมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,427.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมีกำไร 957.44 ล้านบาท ถึง 49.12% อันเป็นผลมาจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 1,653.24 ล้านบาท จึงก่อให้เกิด Economy of Scale ในการผลิต และบริษัทได้นำระบบ SNAP (Stanley New Approach for higher Productivity) ซึ่งเป็นระบบในการเพิ่มผลผลิตและลดความสูญเปล่ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก รวมทั้งได้มีการจัดทำ Program การลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะต้นทุนค่าวัตถุดิบ
โดยงวดนี้บริษัท มียอดขาย ในปี 53 ( 1 เมษายน 53 - 31 มีนาคม 54 ) ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 8,939.61 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมียอดขาย 7,286.37 ล้านบาท ถึง 1,653.24 ล้านบาท หรือ 22.69% อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศและภายนอกประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และภาคธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่ประเภทอีโคคาร์ ซึ่งมีราคาถูก จึงส่งผลในเชิงบวกโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในส่วนของรถยนต์ในปี 53 มีการผลิต 1,644,416 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดการผลิต 999,378 คัน ถึง 64.54% โดยมียอดการขายส่งออก 895,855 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดการส่งออก 535,372 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 67.33%
ขณะเดียวกันยอดการขายภายในประเทศ มี 800,357 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52ที่มียอดขาย 548,871คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.82% ในส่วนของรถจักรยานยนต์ มียอดการผลิตทั้งสิ้น 2,024,599 คันเพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมียอดการผลิต 1,634,409 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 23.87% และมียอดขายภายในประเทศ 1,845,997 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดขาย 1,535,461 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.22%
นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2554 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 54 ว่าบอร์ดอนุมัติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 54 พิจารณาอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 6.50 บาท เท่ากับ 36.37 % ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรสุทธิ จากกิจการที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน รวมเป็นเงินปันผล 498,062,500 บาท
กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 18 กรกฎาคม 54 และให้รวบรวมรายชื่อตาม ม. 225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 19 กรกฎาคม 54 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 54 พร้อมกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 ในวันที่ 8 กรกฎาคม 54 ณ อาคารสำนักงานบริษัท
การจ่ายปันผลดังกล่าว เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทไตรมาสนี้บริษัทปี 53 ( 1 เมษายน 53 - 31 มีนาคม 54 ) โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 49.12% หรือมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,427.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมีกำไร 957.44 ล้านบาท ถึง 49.12% อันเป็นผลมาจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 1,653.24 ล้านบาท จึงก่อให้เกิด Economy of Scale ในการผลิต และบริษัทได้นำระบบ SNAP (Stanley New Approach for higher Productivity) ซึ่งเป็นระบบในการเพิ่มผลผลิตและลดความสูญเปล่ามาใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก รวมทั้งได้มีการจัดทำ Program การลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะต้นทุนค่าวัตถุดิบ
โดยงวดนี้บริษัท มียอดขาย ในปี 53 ( 1 เมษายน 53 - 31 มีนาคม 54 ) ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 8,939.61 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมียอดขาย 7,286.37 ล้านบาท ถึง 1,653.24 ล้านบาท หรือ 22.69% อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศและภายนอกประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้นประชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และภาคธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่ประเภทอีโคคาร์ ซึ่งมีราคาถูก จึงส่งผลในเชิงบวกโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในส่วนของรถยนต์ในปี 53 มีการผลิต 1,644,416 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดการผลิต 999,378 คัน ถึง 64.54% โดยมียอดการขายส่งออก 895,855 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดการส่งออก 535,372 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 67.33%
ขณะเดียวกันยอดการขายภายในประเทศ มี 800,357 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52ที่มียอดขาย 548,871คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 45.82% ในส่วนของรถจักรยานยนต์ มียอดการผลิตทั้งสิ้น 2,024,599 คันเพิ่มขึ้นจากปี 52 ซึ่งมียอดการผลิต 1,634,409 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 23.87% และมียอดขายภายในประเทศ 1,845,997 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มียอดขาย 1,535,461 คัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.22%