สมาคมโบรกฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปี 54 คาดแตะ 1,181 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินนอก การเลือกตั้งกลางปี ศก.โลก-ใน ปท.เริ่มฟื้นตัว และผลประกอบการ บจ.ดีขึ้น ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทยยังพุ่งต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยมีแรงซื้อในหุ้นบิ๊กแคป
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทย ณ วันสิ้นปี 2554 เป็นเฉลี่ย 1,181 จุด จากคาดการณ์เดือนพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ 1,133 จุด และประเมินดัชนีหุ้นปี 2554 สูงสุดที่เฉลี่ย 1,232 จุด และต่ำสุดที่เฉลี่ย 926 จุด
“ผลสำรวจนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุด ประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,181 จุดปรับเพิ่มขึ้น 43 จุด จากคาดการณ์เดิมที่อยู่ในระดับ 1,133 จุด”
โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญมาจากกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจสหรัฐฯ การขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงจับตาปัญหาค่าครองชีพ ภัยธรรมชาติ ค่าเงินบาทโดยเสนอให้รัฐบาลเร่งรัดมาตรการด้านการลงทุน มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ และการป้องปรามการทุจริต
ขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 2554 จะปรับตัวลดลงเป็นเฉลี่ย 13.8% (จากฐานกำไรปี 2553 ที่สูง) พร้อมคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2554 เฉลี่ยที่ 4.4% และปี 2555 เฉลี่ยที่ 4.8% พร้อมปรับคาดการณ์การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนสถาบันในประเทศ ช่วงเดือนมกราคม 2554 ถึงเดือนมกราคม 2554 เฉลี่ยเป็นยอดซื้อสุทธิปีนี้ 40,923 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สมาคมได้เสนอแนะให้ภาครัฐจับตาปัญหาและเตรียมมาตรการรองรับ ได้แก่ ปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งครอบคลุมถึงเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น, ปัญหาภัยธรรมชาติและการเยียวยาผู้ประสบภัย และปัญหาการแข็งค่าและเสถียรภาพของเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก
นอกจากนี้ ได้แนะนำมาตรการสำคัญให้รัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลใหม่ที่จะมาหลังการเลือกตั้งนำไปดำเนินการโดยเร็วเพื่อประโยชน์ต่อประเทศไทย ได้แก่ มาตรการด้านการลงทุน โดยเร่งการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง ชลประทาน เป็นต้น, มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ โดยควบคุมเงินเฟ้อและความผันผวนของราคาอาหารและพลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ผลิต และมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยแก้ปัญหาและปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง
สำหรับการลงทุนในระยะสั้น แนะนำให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น เนื่องจากตลาดในระยะนี้เป็นขาขึ้น มีความเสี่ยงสูง ควรเลือกหุ้นทีได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง การฟื้นฟูหลังสถานการณ์น้ำท่วม และวิกฤตนิวเคลียร์ญี่ปุ่น ควรดูจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด ได้แก่ ปัจจัยภายนอกประเทศ คือ กระแสเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ปัจจัยภายใน เป็นเรื่องของการเมือง
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ ดัชนีปิดภาคเช้าที่ระดับ 1,086.73 จุด เพิ่มขึ้น 10.60 จุด เปลี่ยนแปลง +0.99% มูลค่าการซื้อขาย 22,525.34 ล้านบาท โดยคาดว่าเป็นแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี พลังงาน และแบงก์ ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ พร้อมระบุว่า ในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้วกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,089.21 จุด เพิ่มขึ้น 13.08 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +1.22% มูลค่าซื้อขาย 42,517.60 ล้านบาท