สิงห์อมควันจ๊าก! “สรรพสามิต” เล็งรัฐปรับคิดภาษีใหม่ โดยใช้ราคาขายปลีกในการจัดเก็บเพิ่ม ซองละ 20 บาท “รง.ยาสูบ” หวั่นบุหรี่นอกตีตลาดกระจุย แจงตลาดล่างกระทบหนัก เพราะต้องปรับราคาขึ้นอีก 10-15 บาทต่อซอง
นายอำนาจ เพิ่มชาติ รองผู้อำนวยการยาสูบด้านใบยา รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวถึงแนวคิดของกรมสรรพสามิตที่ต้องการจัดเก็บภาษีเพิ่มจากราคาขายปลีกบุหรี่ที่ 20 บาทต่อซอง หรือมวนละ 1 บาท ซึ่งเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อบุหรี่ทุกยี่ห้อของโรงงานยาสูบ โดยเฉพาะบุหรี่ระดับล่างยิ่งกระทบมาก ซึ่งจะต้องเพิ่มราคาขายขึ้นไป ตกซองละ 10-15 บาท เพราะมีภาระจ่ายภาษีแทนตัวแทนจำหน่ายปีละ 700 ล้านบาทด้วย
นายอำนาจ กล่าวอีกว่า หากกรมสรรพสามิตจะประกาศการคิดภาษีดังที่กล่าว ควรจะต้องมีมาตรการป้องกันการทุ่มตลาด (ดัมป์ราคา) ด้วย ไม่เช่นนั้นยาสูบภายในประเทศจะได้รับผลกระทบ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงจากปัจจุบัน โดยเฉพาะบุหรี่ระดับล่างที่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งอยู่ราว 20-30% ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายของโรงงานยาสูบที่ปัจจุบันอยู่ที่ปีละกว่า 6 หมื่นล้านบาท
นายอำนวย ปรีมนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวในงานแถลงข่าว “มิติใหม่ยาสูบไทย ทันสมัยสู่เวทีโลก” โดยมองว่า เพื่อรับมือการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาการค้า กติกาด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านสาธารณสุข โรงงานยาสูบจึงต้องปรับเปลี่ยนองค์กรใหม่ โดยเฉพาะปัจจุบัน ยาสูบต่างประเทศเข้ามาตีตลาดมากขึ้น
ดังนั้น แนวทางการปรับโครงสร้างภาษียาสูบของภาครัฐที่จะเปลี่ยนการคำนวณภาษีเป็นคิดจากราคาขายปลีกนั้น จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงงานยาสูบค่อนข้างมาก
“ถ้ามีการปรับขึ้นภาษียาสูบ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะจัดเก็บบนเปอร์เซ็นต์ของราคาขายปลีก ทางโรงงานยาสูบมีความเห็นว่าจะกระทบต่อโรงงานมาก ก็พยายามจะให้ข้อมูลกับกระทรวงการคลังให้ดูแลผลกระทบด้วย เพราะบุหรี่ต่างประเทศจะได้เปรียบมากขึ้น”
ประธานอำนวยการโรงงานยาสูบ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันบุหรี่ต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ร้านค้าให้ตัวแทนเหมือนกับโรงงานยาสูบ ซึ่งการใช้ราคาขายปลีกเป็นฐานคำนวณภาษี ก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนของโรงงานยาสูบเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากต่างประเทศดัมพ์ราคาเข้ามา เราก็จะยิ่งแข่งขันยากขึ้น
