xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นพุ่ง 16 จุดแต่น่าวิตก! วิกฤตนิวเคลียร์โผล่อีก-แนะติดตามข่าวใกล้ชิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยพุ่ง 16 จุด ตามตลาดทั่วโลก หลังวิกฤตที่ญี่ปุ่น และลิเบีย คลี่คลาย โบรกฯเตือนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แม้วันนี้ (22 มี.ค.) มีโอกาสปรับขึ้น แต่ล่าสุดเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 มีควันขึ้นมาจนต้องรีบอพยพพนักงาน ด้าน ธนาคารกรุงเทพ ชี้ แผ่นดินไหวส่งผลกระทบราคาสินทรัพย์ญี่ปุ่นลดลงอีก 3-5% จากเดิมปรับลดลงแล้ว 50% จากเศรษฐกิจไม่ดีตลอด 18 ปีที่ผ่านมา ชี้เป็นโอกาสทองในรอบ 50ปี ในเข้าไปลงทุนจากมีต้นทุนที่ต่ำ-รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเสริมเรื่องภาษี

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (21 มี.ค.) ดัชนีปิดที่ 1,019.93 จุด เพิ่มขึ้น 16.64 จุด หรือ 1.66% มูลค่าการซื้อขาย 23,819.45 ล้านบาท ระหว่างปรับตัวสูงสุด 1,020.01 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,009.83 จุด โดยการเคลื่อนไหวปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดวัน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก หลังนักลงทุนคลี่คลายความกังวลผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่นและสถานการณ์ในลิเบีย ทำให้เกิดแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี

โดยการซื้อขายสุทธิแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า สถาบันซื้อสุทธิ 1,021.20 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ ที่ซื้อสุทธิ 1,168.08 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไป และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,890.34 ล้านบาท และ 298.94 ล้านบาท ตามลำดับ

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้อยู่ในแดนบวกได้ตลอดทั้งวัน โดยเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับตัวดีขึ้น หลังจากตลาดคลายความกังวลปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่นและการหยุดยิงในลิเบียหลังจากชาติพันธมิตรปฏิบัติการโจมตีเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งล่าสุดมีรายงานข่าวว่า นายพลกัดดาฟี ผู้นำลิเบียยอมเจรจาแล้ว ซึ่งส่งผลดีต่อสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทั้งเรื่องญี่ปุ่นและลิเบียอย่างใกล้ชิดต่อไปว่าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่หากไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีก ก็คาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังบวกต่อได้ในวันนี้ เพราะตลาดหุ้นยุโรปเปิดมาบวกกันทั่วหน้าประมาณ 2% ซึ่งดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา และเชื่อว่าโมเมนตัมยังดีอยู่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานว่า มีควันสีเทาพวยพุ่งออกมาจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 3 ของโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะ ไดอิจิ จนต้องมีการอพยพเจ้าหน้าที่กำลังดับความร้อนของเตาปฏิกรณ์ดังกล่าวอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มดัชนี้ตลาดหุ้นไทยวันนี้ให้แนวต้านที่ 1,025 จุด แนวรับที่ 1,015-1,000 จุด แต่อาจมีแรงขายทำกำไรของนักลงทุนบางส่วน ดังนั้น ต้องระมัดระวังการลงทุนหากหลุดแนวรับที่ 1,015 จุด

**พลิกวิกฤตมองโอกาสทองลงทุนญี่ปุ่น
นายทวี พวงเกษแก้ว รองประธานอาวุโสและผู้จัดการ (ฝ่ายญี่ป่น) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL เปิดเผยว่า ปัจจุบันราคาสินทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับตัวลดลงมา 50% เนื่องจากเศรษฐกิจในญี่ปุ่นไม่ดีมาตลอดในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา และจากเหตุแผนดินไหว และสึนามินั้น คาดว่า จะทำให้ราคาสินทรัพย์ในญี่ปุ่นปรับตัวลดลงอีก 3-5% ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสทองในการไปลงทุนในรอบ 50 ปี ที่ต้นทุนในการเข้าไปลงทุนญี่ปุ่นที่ต่ำ ประกอบกับทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็มีการสนับสนุนโดยการลดภาษี โดยหากนักลงทุนสนใจที่จะเข้าไปลงทุนนั้น ส่วนตัวแนะนำให้เข้าไปลงทุนในนามบริษัทนิติบุคคลจะเสียภาษีเพียง 35% แต่บุคคลเข้าไปลงทุนนั้นจะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า สูงสุดถึง 55%

ทั้งนี้ การลงทุนในญี่ปุ่นระยะ 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่งนั้น ส่วนตัวแนะนำให้เข้าลงทุนในบริษัทที่มีกระแสเงินสดสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โดยทางธนาคารกรุงเทพจะปล่อยสินเชื่อให้ 70% ขณะที่ผู้ลงทุนลงทุนเพียง 30% ปัจจุบันบริษัทไทยเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่นยังไม่มาก เนื่องจาก กังวลในเรื่องการใช้ภาษา และไม่รู้ว่าจะติดต่อใคร ซึ่งทางธนาคากรุงเทพ พร้อมที่จะสนับสนุนให้บริษัทไทยไปลงทุนที่ญี่ปุ่น

สำหรับในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทไทยขนาดใหญ่เข้าไปลงทุนในธุรกิจโรงแรมจากที่มีเงินสดจำนวนมาก ซึ่งได้ใช้เงินลงทุนไปจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพียง 1 ปีครึ่งได้รับผลตอบแทนกลับมาแล้ว 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนบริษัทขนาดกลางนั้นไปร่วมลงทุนกับบริษัทญี่ปุ่นทำรีไซเคิลเหล็กร่วมทุน 4 ปี นอกจากบริษัทไทยได้ความรู้ทางเทคโนโลยี และยังได้ผลตอบแทนถึง 50%

“บริษัทพร้อมที่จะให้การสนับสนุนบริษัทไทยไปลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่นจากการที่ราคาสินทรัพย์ทั้งที่เป็นที่ดินและไม่ที่ดินมีราคาที่ต่ำ จากที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจมาตลอดในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา และรัฐบาลญี่ปุ่นมีการส่งเสริมให้เข้าไปลงทุนจากการลดภาษี ทำให้ต้นทุนในการเข้าไปลงทุนญี่ปุ่นต่ำมาก ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทองในรอบ 50 ปีจะมีแบบนี้สักครั้ง” นายทวี กล่าว

นายฮิเดอากิ ฟูจิยามา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAIC Asia Holdings Pte Ltd. ซึ่งประกอบธุรกิจกองทุนร่วมทุน (Venture Capital) กล่าวว่า จากการที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวนั้น ขณะนี้ถือว่ายังไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนของบริษัทในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้นโยบายการลงทุนยังเหมือนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จากที่มองว่าการลงทุนยังมีโอกาสให้ผลอตบแทนที่ดี โดยบริษัทคาดหวังผลตบแทนระดับปานกลางที่ 10-20% ซึ่งธุรกิจที่สนใจเข้าลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอาหาร กลุ่มเกษตร กลุ่มพลังงานทดแทน เป็นต้น

โดยที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2533 JAIC ลงทุนในบริษัทในประเทศไทยแล้วเป็นมูลค่าประมาณ 250 ล้านเหรียญ หรือราว 2.5 หมื่นล้านเยน โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไปแล้วจำนวน 12 บริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น