xs
xsm
sm
md
lg

วิตกนิวเคลียร์หุ้นรูด 5 จุด โบรกฯเชื่อมีโอกาสรีบาวนด์-แนะจับตาเงินเยน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยร่วง 5 จุด นักลงทุนยังกังวลการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากญี่ปุ่น แต่โบรกฯเชื่อมีโอกาสรีบาวน์วันนี้ ด้าน “บล.ทรีนิตี้” แนะจับตาเงินเยนแข็งค่าเป็นพิเศษ จากการดึงเงินกลับประเทศของนักลงทุนญี่ปุ่น พร้อมหวั่น Fund Flow ทั่วโลกปั่นป่วน ส่วนหุ้นไทยเชื่อได้รับผลกระทบน้อย เหตุสัดส่วนลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยยังต่ำ และมั่นใจตลาดไทยยังรับแรงเทขายได้

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 1,002.35 จุด ลดลง 5.78 จุด หรือ -0.57% มูลค่าการซื้อขาย 24,525.05 ล้านบาท โดยการเคลื่อนไหวของดัชนีปรับตัวลงตามตลาดภูมิภาค อิงปัจจัยหลักจากสถานการณ์ภัยพิบัติในญี่ปุ่น โดยเฉพาะการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ที่สร้างความกังวลต่อนักลงทุน ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุด 1,004.04 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 998.66 จุด นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,588.78 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบัน ที่ 314.70 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,721.40 ล้านบาท ปิดที่ 336.00 บาท ลดลง 3.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,679.15 ล้านบาท ปิดที่ 738.00 บาท ลดลง 4.00 บาท IRPC มูลค่าการซื้อขาย 1,131.84 ล้านบาท ปิดที่ 6.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง IVL มูลค่าการซื้อขาย 1,099.07 ล้านบาท ปิดที่ 49.25 บาท ลดลง 0.50 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 1,028.79 ล้านบาท ปิดที่ 25.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ กล่าวว่า ช่วงนี้เม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้าในตลาดพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง และจะสังเกตเห็นว่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการลงทุนของญี่ปุ่นขณะนี้ ถ้ามีกำไรเกิดขึ้นจะถูกส่งกลับไปที่ญี่ปุ่นเลย ซึ่งเกิดจากเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

“ตอนนี้ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ได้หลุด 80 เยน/ดอลลาร์ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญคือจะต้องจับตาดูผลกระทบจากที่ค่าเงินเยนแข็ง อาจจะมีการแทรกแซงของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ Fund Flow ปั่นป่วนไปอีกรอบหนึ่งทั่วโลก แต่เนื่องจากฝรั่งถือหุ้นไทยน้อย ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมาเขาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่ำกว่า 1% ของมาร์เก็ตแคป ฉะนั้น หุ้นไทยจึงได้รับผลกระทบจากแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศค่อนข้างน้อย ดังนั้น จึงเห็นหุ้นของประเทศอื่นลงมากกว่าประเทศไทย และทำให้สภาพคล่องภายในประเทศสามารถรับแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศได้”

ส่วนปัญหาในตะวันออกกลางมองว่า เป็นปัญหาที่น่าจะยืดเยื้อ ไม่สามารถจบได้เร็ว ซึ่งถ้าปัญหาไม่ลุกลามไปยังคูเวต และซาอุดีอาระเบีย ยังสามารถลงทุนได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าลิเบียหรือแถว MENA ปิดการผลิตไป 1 ปี รวมทั้งมีการลุกลามไปซาอุดิอาระเบีย จุดนี้จะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ

“2-3 เดือนนี้ตลาดหุ้นไทยคงจะซึมซับข่าวดังกล่าวนี้ไปก่อน ถ้าดูการลงทุนทั่วโลก จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นดึงเงินกลับเพื่อไปช่วยเหลือจากเหตุภัยพิบัติ แต่ถ้าดูสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก ก็จะเห็นว่าการแก้ไขของญี่ปุ่นจะเป็นตัวบอก Fund Flow จะไปทางไหน เพราะบอกได้ว่าดอกเบี้ยของญี่ปุ่นตอนนี้ก็ยังต่ำ แค่ 0-0.25% ก็คือ ต่ำกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว การคลังของญี่ปุ่นก็มีการขาดทุนงบประมาณค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นถ้าดูเวลานี้คงจะมองสินทรัพย์ที่น่าสนใจลงทุนอยู่ 2 อย่าง เมื่อมีการอ่อนตัว ก็คือ สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และสินทรัพย์พวกหุ้น เพราะว่าถ้าเงินเฟ้อขึ้นมา สินทรัพย์พวกบอนด์จะให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าสนใจ”

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบ ทั้งนี้ตลาดฯช่วงนี้คงจะผันผวนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสี สำหรับผลกระทบที่เกิดกับไทย เชื่อว่า คงจะไม่รุนแรงเหมือนอย่างญี่ปุ่น และตลาดฯก็ยังติดตามสถานการณ์ในตะวันออกลางด้วย ทั้งนี้ เวลานี้จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์(Asset)ทั่วโลกได้มีการแกว่งตัวแรงกันทั้งหมด

แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (18 มี.ค.) มองว่า ดัชนียังขึ้นอยู่กับตัวแปรจากสถานการณ์ในญี่ปุ่นเป็นหลัก ตามด้วยสถานการณ์ในตะวันออกกลาง พร้อมให้แนวรับ 1,000-996 จุด แนวต้าน 1,010 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น