xs
xsm
sm
md
lg

3 ปัจจัยลบจ่อฉุดหุ้น มี.ค. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ ศก.เข้าสู่ภาวะโตแบบปกติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้ กำไรบจ.ปีนี้โตไม่มาก เหตุ เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะโตแบบปกติ ด้านผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดโต 14-15% ถือว่าเป็นระดับที่ดี ด้านการลงทุนเดือนมี.ค.มี 3 ปัจจัยลบต้องติดตาม “ราคาน้ำมัน- เงินเฟ้อ- การเมืองไทย” “วิรไท” เผย เดือนก.พ.ต่างชาติหันกลับมาลงทุนตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ส่งผลสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดในรอบ 29 เดือน

นาย วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้คงจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่สูงเหมือนกับที่ผ่านมาที่โต 30-40% เนื่องจาก การเติบโตของเศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตในระดับปกติ และฐานกำไรของบจ.อยู่ในระดับสูง การที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนไทยรวมถึงบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์นั้นมองว่ากำไรบจ.ปีนี้จะโตในระดับ 14-15% โดยถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ

“นักวิเคราะห์มองว่ากำไรบจ.ไทยปีนี้ดต 14-15% ถือว่าเป็นระดับที่ดี แม้จะเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงจากปีก่อนที่โต 32% เนื่องจาก ฐานกำไรบจ.ใหญ่ การเติบโตเศรษฐกิจของไทยเข้าสู่ภาวะการเติบโตแบบปกติที่ปีนี้โต 4-5% ซึ่งจะหวังว่ากำไรบจ.จะโต 30-40% คงเป็นไปไม่ได้ ” นายวิรไทย กล่าว

ทั้งนี้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคมนั้น ยังมีปัจจัยกระทบต่อการลงทุน 3 ปัจจัย คือ ปัญหาการเมืองในตะวันออกกลาง ซึ่งมีผลทำให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยจะมีผลกระทบต่อมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ปัจจัยที่2 อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ในประเทศแถบดังกล่าวทำให้เม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอาจมีการลดเงินในการเข้ามาลงทุน

สำหรับปัจจัยสุดท้ายปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่นักลงทุนยังคงกังวลที่อาจจะมีการยุบสภา และมีการเลือกตั้ง แต่ถึงแม้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีข่าวลบอยู่แต่นักลงทุนต่างประเทศยังอยู่เข้ามาซื้อหุ้นไทยทำให้ปัจจุบันมูลค่าการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติลดลงอยู่ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท

นายวิรไทย กล่าวว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์และการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ปิดที่ 987.91 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.47% จากสิ้นเดือนก่อน สวนทางกับตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค เนื่องจากผู้ลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิ 8,432 ล้านบาท และการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8 ล้านล้านบาท เพื่อขึ้น 2.4% จากเดือนก่อน

ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ปิดที่ 263.56 จุด ปรับตัวลดลง 0.57% จากสิ้นเดือนก่อน และลดลง 3.37% จากสิ้นปี 2553 ขณะที่มาร์เกตแคปของ mai อยู่ที่ 51,152 ล้านบาท ลดลง 5.53% จากเดือนก่อน

สำหรับดัชนีหลักทรัพย์รายอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ยกเว้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลดลง โดยกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มทรัพยากร เป็นเพียง 2 กลุ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.49% และ 4.07% จากเดือนก่อน แม้ว่าดัชนีหลักทรัพย์จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังคงให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุดในภูมิภาค โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.80% ใกล้เคียงกับ ณ มกราคม 2554 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.82%

ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ของ SET และ mai อยู่ที่ 28,124.64 ล้านบาท ลดลง 21.88% จากเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้น 97.43% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2553 โดยผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิด้วยมูลค่า 8,432 ล้านบาทและมีสัดส่วนมูลค่าซื้อขาย 25.73 % ของมูลค่าซื้อขายรวม ซึ่งเป็นสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 29 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2551 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2554 จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสถานะขายสุทธิ 20,248 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนการลงทุนที่ลดลงเหลือ 52% จากเดือนก่อน 55% นักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ที่ 9.5% สูงกว่าเดือนก่อนที่ 9.4% ขณะที่บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12.9% จากเดือนก่อน 10.1%

ด้านภาวะการลงทุนในตลาดอนุพันธ์เดือนกุมภาพันธ์ 2554 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวม 25,199 สัญญา เพิ่มขึ้น 79.88% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2553 แต่ลดลง 5.17% จากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายของ SET50 Index Futures รวมทั้ง Gold Futures ทั้งขนาด 50 บาท และ 10 บาทปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยการระดมทุนในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในตราสารทุนมูลค่ารวม 23,650.11 ล้านบาท แต่มีการระดมทุนเฉพาะในตลาดรองเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนของ 2 บริษัท ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) และ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) มูลค่าระดมทุน 17,280 ล้านบาท และ 6,099 ล้านบาท ตามลำดับ
กำลังโหลดความคิดเห็น