สายการบินไทยแอร์เอเชีย เล็งระดมทุนขายหุ้นไอพีโอ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หวังนำเงินมาซื้อเครื่องบินใหม่-ชำระคืนหนี้-ล้างขาดทุนสะสม-เป็นเงินทุนหมุนเวียน คาดเทรด ไตรมาส 4/54 “ผู้บริหาร” ตั้งเป้าหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์รายได้โตปีละ 35-40% จากทยอยรับเครื่องบินปีละ 4 ลำ จากยอดสั่งรวม 20 ลำ คาดปีนี้รายได้รวม 1.5 หมื่นล้านบาท ชี้ ภายใน 5 ปี มีเงินสดหมุนเวียน 8 พัน -1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมี 1 พันล้านบาท
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่า จะได้เงินจากการระดมทุนในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ประมาณ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทจะนำไปซื้อเครื่องบิน นำไปชำระคืนหนี้ นำไปล้างขาดทุนสะสมที่มีจำนวน 1 พันล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และภายหลังการเพิ่มทุนจะทำให้บริษัทมีทุนจดทเบียนเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะกระจายหุ้น 25% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งจะมีการขายทั้งหุ้นเดิมและหุ้นใหม่ จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน มูลค่า 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยบริษัทคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส 4/54
“บริษัทหวังที่จะมีการเติบโตรายได้จากบริษัทเอง จึงมีแผนที่จะซื้อเครื่องบินเอง จากปัจจุบันที่บริษัทเช่าเครื่องบินอยู่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทยอยรับเครื่องบินจำนวน 20 ลำ โดยมีมูลค่าลำละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะทยอยส่งมอบปีละ 4 ลำ จำนวน 5 ปี และเงินที่นำมาซื้อเป็นเงินจากการขายหุ้นไอพีโอ และจะทยอยชำระ อีกส่วนบริษัทนำไปชำระหนี้ที่บริษัทกู้จากธนาคารเครดิตสวิส มูลค่า 1.4 พันล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่กลุ่มผู้บริหารกู้มาเพื่อมาซื้อหุ้นไทยแอร์เอเซียจากกลุ่มชินคอร์ปฯ ซึ่งจะครบกำหนดชำระกลางปีหน้า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน” นายทัศพล กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปีละ 35-40% จากการที่บริษัทจะรับมอบเครื่องบินใหม่ปีละ 4 ลำ ทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 54 บริษัทคาดรายได้จำนวน 15,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 12,400 ล้านบาท คาดมีการเติบโตอัตรากำไรสุทธิ 22-23% ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,846 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าอัตราการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย (โหลดแฟกเตอร์) ปีนี้อยู่ที่ 82% ซึ่งไตรมาส 1/54 บริษัทมีโหลดแฟกเตอร์ 84% มีจำนวนผู้โดยสายเดินทางกับสายการบินไทยแอร์เอเชียปีนี้ทั้งหมด 7 ล้านคน จากปีก่อนที่มี 5.8 ล้านคน และบริษัทมีการขยายเส้นทางการบินเพิ่ม เช่น อินเดีย จีน ฯลฯ
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกิจสายการบิน โดยบริษัทได้มีการเตรียมแผนรับมือกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วยการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันจำนวน 30% ของน้ำมันที่บริษัทใช้ทั้งหมด และบริษัทจะมีการหารายได้เสริมด้านอื่นๆเพิ่มขึ้นเช่น การขายสินค้าบนเครื่องบิน เพื่อที่จะชดเชยกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 125-130 เหรียญสหรัฐฯบริษัทจะมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม
นายทัศพล กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมีกระแสเงินสดหมุนเวียนจำนวน 8,000-10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่กว่า 1 พันล้านบาท เนื่องจาก ธุรกิจสายการบินจะมีการแข่งขันที่สูงในอนาคต ในเรื่องการตัดราคา ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีเงินสดหมุนเวียนที่สูง และยิ่งในปี 2556 นั้นจะมีการเปิดเสรีการทำธุรกิจสายการบิน (open sky) ทำให้จะมีสายการบินใหม่ๆเพิ่มมากยิ่งขึ้นการแข่งขันต้องสูงมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีเครื่องบินจำนวน 20 ลำ ซึ่งเป็นการเช่าทั้งหมด โดยในเดือนปีนี้บริษัทจะทยอยรับเครื่องบิน จากที่บริษัทสั่งซื้อ จำนวน 3 ลำ แบ่งเป็นเดือนมกราคม จำนวน 1 ลำ เดือน กันยายนอีก 1 ลำ และลำที่3 ในเดือนธันวาคมปีนี้ อนาคตเครื่องบินที่บริษัทเช่าอยู่จำนวน 20 ลำนั้น บริษัทอาจจะมีการพิจารณาซื้อ เพื่อเป็นสินทรัพย์ของบริษัทเอง
นอกจากนี้ ส่วนตัวมองว่าการที่กลุ่มผู้บริหารได้เข้าซื้อหุ้นไทยแอร์เอเชียจากบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ถือว่าคุ้มกับเงินที่ได้มีการลงทุนซื้อหุ้นดังกล่าว
นายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่า จะได้เงินจากการระดมทุนในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ประมาณ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทจะนำไปซื้อเครื่องบิน นำไปชำระคืนหนี้ นำไปล้างขาดทุนสะสมที่มีจำนวน 1 พันล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และภายหลังการเพิ่มทุนจะทำให้บริษัทมีทุนจดทเบียนเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท โดยบริษัทจะกระจายหุ้น 25% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งจะมีการขายทั้งหุ้นเดิมและหุ้นใหม่ จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียน มูลค่า 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยบริษัทคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส 4/54
“บริษัทหวังที่จะมีการเติบโตรายได้จากบริษัทเอง จึงมีแผนที่จะซื้อเครื่องบินเอง จากปัจจุบันที่บริษัทเช่าเครื่องบินอยู่ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทยอยรับเครื่องบินจำนวน 20 ลำ โดยมีมูลค่าลำละ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะทยอยส่งมอบปีละ 4 ลำ จำนวน 5 ปี และเงินที่นำมาซื้อเป็นเงินจากการขายหุ้นไอพีโอ และจะทยอยชำระ อีกส่วนบริษัทนำไปชำระหนี้ที่บริษัทกู้จากธนาคารเครดิตสวิส มูลค่า 1.4 พันล้านบาท เป็นเม็ดเงินที่กลุ่มผู้บริหารกู้มาเพื่อมาซื้อหุ้นไทยแอร์เอเซียจากกลุ่มชินคอร์ปฯ ซึ่งจะครบกำหนดชำระกลางปีหน้า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน” นายทัศพล กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตรายได้ปีละ 35-40% จากการที่บริษัทจะรับมอบเครื่องบินใหม่ปีละ 4 ลำ ทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 54 บริษัทคาดรายได้จำนวน 15,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 12,400 ล้านบาท คาดมีการเติบโตอัตรากำไรสุทธิ 22-23% ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,846 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าอัตราการขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย (โหลดแฟกเตอร์) ปีนี้อยู่ที่ 82% ซึ่งไตรมาส 1/54 บริษัทมีโหลดแฟกเตอร์ 84% มีจำนวนผู้โดยสายเดินทางกับสายการบินไทยแอร์เอเชียปีนี้ทั้งหมด 7 ล้านคน จากปีก่อนที่มี 5.8 ล้านคน และบริษัทมีการขยายเส้นทางการบินเพิ่ม เช่น อินเดีย จีน ฯลฯ
สำหรับกรณีที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกิจสายการบิน โดยบริษัทได้มีการเตรียมแผนรับมือกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วยการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันจำนวน 30% ของน้ำมันที่บริษัทใช้ทั้งหมด และบริษัทจะมีการหารายได้เสริมด้านอื่นๆเพิ่มขึ้นเช่น การขายสินค้าบนเครื่องบิน เพื่อที่จะชดเชยกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แต่หากราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 125-130 เหรียญสหรัฐฯบริษัทจะมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม
นายทัศพล กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปี จะมีกระแสเงินสดหมุนเวียนจำนวน 8,000-10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่กว่า 1 พันล้านบาท เนื่องจาก ธุรกิจสายการบินจะมีการแข่งขันที่สูงในอนาคต ในเรื่องการตัดราคา ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีเงินสดหมุนเวียนที่สูง และยิ่งในปี 2556 นั้นจะมีการเปิดเสรีการทำธุรกิจสายการบิน (open sky) ทำให้จะมีสายการบินใหม่ๆเพิ่มมากยิ่งขึ้นการแข่งขันต้องสูงมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมีเครื่องบินจำนวน 20 ลำ ซึ่งเป็นการเช่าทั้งหมด โดยในเดือนปีนี้บริษัทจะทยอยรับเครื่องบิน จากที่บริษัทสั่งซื้อ จำนวน 3 ลำ แบ่งเป็นเดือนมกราคม จำนวน 1 ลำ เดือน กันยายนอีก 1 ลำ และลำที่3 ในเดือนธันวาคมปีนี้ อนาคตเครื่องบินที่บริษัทเช่าอยู่จำนวน 20 ลำนั้น บริษัทอาจจะมีการพิจารณาซื้อ เพื่อเป็นสินทรัพย์ของบริษัทเอง
นอกจากนี้ ส่วนตัวมองว่าการที่กลุ่มผู้บริหารได้เข้าซื้อหุ้นไทยแอร์เอเชียจากบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ถือว่าคุ้มกับเงินที่ได้มีการลงทุนซื้อหุ้นดังกล่าว