กองทุนต่างประเทใจลงทุนบริษัทขนาดเล็กของไทยปีนี้มากขึ้น หลังการเมืองนิ่ง ผู้บริหาร “แอสเซทโปรฯ”ชี้ อยู่ระหว่างออกหุ้นกู้แปลงสภาพให้กองทุนต่างชาติร่วมลงทุนใน 3 บริษัทที่เตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ด้านบล.ภัทร ชี้ บริษัทจดทะเบียนไทยยังคงเดินหน้าซื้อกิจการบริษัทต่างประเทศ หวังหนุนธุรกิจเติบโตในอนาคต
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนร่วมลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศไทยปีนี้มากขึ้น หลังจากการเมืองปีนี้ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยกองทุนต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนนั้นเป็นกองทุนจากตะวันออกกลางและในเอเซีย โดยบริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับกองทุนต่างประเทศจำนวน 2-3 กองทุนที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทไทย โดยกองทุนดังกล่าวมีขนาดกองทุนประมาณ 100-200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ กองทุนต่างประเทศนั้นมีความสนใจที่จะลงทุนในบริษัทขาดกลางและขนาดเล็กที่เตรียมตัวที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) โดยมีเป้าหมายที่จะเข้ามาถือหุ้นประมาณ 15-20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งจะเข้ามาลงทุนประมาณ 3-5 ปี โดยคาดหวังลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 12-15% ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นจะเป็นลักษณะการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ
สำหรับทาง แอสเซท โปรฯ อยู่ระหว่างการหาบริษัทให้กองทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) จำนวน 3 บริษัท มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 10-15 ล้านเหรียสหรัฐ โดยธุรกิจที่กองทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนนั้นเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น พลังงานชีวมวล ธุรกิจบำบัดน้ำเสีย รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
"กองทุนต่างประเทศตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กของไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่จากปัญหาทางการเมืองจึงยังไม่เข้ามา แต่จากปีนี้ที่การเมืองไทยนิ่ง ทำให้กองทุนต่างประเทศมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีงานเกี่ยวกับการร่วมทุนของกองทุนต่างประเทศกับบริษัทไทยขณะนี้อยู่จำนวน 3 ดีล ซึ่งเป็นบริษัทที่เตรียมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทไทยจะออกหุ้นกู้แปลงสภาพ"นายสมภพ กล่าว
นายสมภพกล่าวว่า ปัจจุบัมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มีผลประกอบการที่เติบโตที่ดี ทำให้ลูกค้าของบริษัทที่มีบริษัททุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท จะย้ายเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกประมาณ 1-2 บริษัท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวต้องการที่จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจจากนักลงทุนมากขึ้น โดยบริษัทที่จะย้ายไปซื้อขายในตลาดใหญ่ จะเป็นบริษัทพลังานและอิเล็กทรอนิกส์
นายตรัยรักษ์ เต็งไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวานิชธนกิจและตลาดตราสารทุน บริษัหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า งานไอบีของบริษัทในปีนี้มีความหลากหลายทั้งงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ งานควบรวมกิจการ ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีงานในมือจำนวนเท่าไหร่เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินงาน โดยทิศทางหุ้นไอพีโอปีนี้คาดว่าจะดี แม้ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่ปัจจัยพื้นฐานก็ยังดีอยู่ P/E อยู่ระดับที่ดี
สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนไทยมีการไล่ซื้อกิจการในต่างประเทศเหมือนกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนไทยมีจำนวนมากที่ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และต้องการเติบโตจากการไปลงทุนต่างประเทศ จากปีที่ผ่านมามีบจ.จำนวน 3 แห่งที่ออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศ คือ บ้านปู ปตท.สผ และ ไทยยูเนียน โฟรเซ่น ซึ่งแต่ละดีลมีมูลค่าประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
"บริษัทคาดว่ารายได้ทางด้านไอบีปีนี้หวังว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยปีที่ผ่านมารายได้ไอบีมีสัดส่วน 50% ของรายได้ ซึ่งในปีนี้ยังคงเห็นมีบจ.ไทยไปเทคโอเวอร์บริษัทต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากบจ.ไทยที่มีความแข็งแกร่งเยอะ โดยบริษัทอยู่ในTOP 10-20 จากที่ต้องการเติบโตในอนาคต ซึ่งคาดว่ามูลค่าการทำดีลน่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา "นายตรัยรักษ์ กล่าว
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นต์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้กองทุนต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุนร่วมลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กในประเทศไทยปีนี้มากขึ้น หลังจากการเมืองปีนี้ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยกองทุนต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนนั้นเป็นกองทุนจากตะวันออกกลางและในเอเซีย โดยบริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับกองทุนต่างประเทศจำนวน 2-3 กองทุนที่จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัทไทย โดยกองทุนดังกล่าวมีขนาดกองทุนประมาณ 100-200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ กองทุนต่างประเทศนั้นมีความสนใจที่จะลงทุนในบริษัทขาดกลางและขนาดเล็กที่เตรียมตัวที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) โดยมีเป้าหมายที่จะเข้ามาถือหุ้นประมาณ 15-20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งจะเข้ามาลงทุนประมาณ 3-5 ปี โดยคาดหวังลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ 12-15% ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นจะเป็นลักษณะการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ
สำหรับทาง แอสเซท โปรฯ อยู่ระหว่างการหาบริษัทให้กองทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) จำนวน 3 บริษัท มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 10-15 ล้านเหรียสหรัฐ โดยธุรกิจที่กองทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนนั้นเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น พลังงานชีวมวล ธุรกิจบำบัดน้ำเสีย รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
"กองทุนต่างประเทศตั้งใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กของไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่จากปัญหาทางการเมืองจึงยังไม่เข้ามา แต่จากปีนี้ที่การเมืองไทยนิ่ง ทำให้กองทุนต่างประเทศมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีงานเกี่ยวกับการร่วมทุนของกองทุนต่างประเทศกับบริษัทไทยขณะนี้อยู่จำนวน 3 ดีล ซึ่งเป็นบริษัทที่เตรียมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทไทยจะออกหุ้นกู้แปลงสภาพ"นายสมภพ กล่าว
นายสมภพกล่าวว่า ปัจจุบัมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มีผลประกอบการที่เติบโตที่ดี ทำให้ลูกค้าของบริษัทที่มีบริษัททุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท จะย้ายเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกประมาณ 1-2 บริษัท เนื่องจากบริษัทดังกล่าวต้องการที่จะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจจากนักลงทุนมากขึ้น โดยบริษัทที่จะย้ายไปซื้อขายในตลาดใหญ่ จะเป็นบริษัทพลังานและอิเล็กทรอนิกส์
นายตรัยรักษ์ เต็งไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวานิชธนกิจและตลาดตราสารทุน บริษัหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า งานไอบีของบริษัทในปีนี้มีความหลากหลายทั้งงานที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ งานควบรวมกิจการ ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีงานในมือจำนวนเท่าไหร่เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินงาน โดยทิศทางหุ้นไอพีโอปีนี้คาดว่าจะดี แม้ภาวะตลาดหุ้นจะมีความผันผวน แต่ปัจจัยพื้นฐานก็ยังดีอยู่ P/E อยู่ระดับที่ดี
สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนไทยมีการไล่ซื้อกิจการในต่างประเทศเหมือนกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนไทยมีจำนวนมากที่ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และต้องการเติบโตจากการไปลงทุนต่างประเทศ จากปีที่ผ่านมามีบจ.จำนวน 3 แห่งที่ออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศ คือ บ้านปู ปตท.สผ และ ไทยยูเนียน โฟรเซ่น ซึ่งแต่ละดีลมีมูลค่าประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท
"บริษัทคาดว่ารายได้ทางด้านไอบีปีนี้หวังว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยปีที่ผ่านมารายได้ไอบีมีสัดส่วน 50% ของรายได้ ซึ่งในปีนี้ยังคงเห็นมีบจ.ไทยไปเทคโอเวอร์บริษัทต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากบจ.ไทยที่มีความแข็งแกร่งเยอะ โดยบริษัทอยู่ในTOP 10-20 จากที่ต้องการเติบโตในอนาคต ซึ่งคาดว่ามูลค่าการทำดีลน่าจะสูงกว่าปีที่ผ่านมา "นายตรัยรักษ์ กล่าว