ASTVผู้จัดการรายวัน- ตลาดหลักทรัพย์ฯหวังดึงบริษัทประกันเข้าจดทะเบียนมากขึ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีจำนวนเพียง 17 แห่ง จากในอุตสาหกรรมมีสูงถึง 100 บริษัท “ผู้บริหาร เบคอร์ฯ”ชี้ หากเข้าได้ 4-5 บริษัทปีนี้น่าพอใจ จากบริษัทมีความพร้อม 10 แห่ง ด้าน ด้าน “ผู้บริหารไทยศรีประกันภัย” แจง แรงจูงใจหลักบริษัทประกันเข้าจดทะเบียนคือสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล มากกว่าเงินระดมทุน เผย หากทางการต่ออายุภาษีรับสนใจเข้าซื้อขาย
นายสรชน บุญสอง ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายประกันภัยและกฎหมายหุ้นส่วนบริษัท บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษากฎหมายประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทเบเคอร์ฯ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)ในการให้ข้อมูลแก่บริษัทประกันภัยเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เนื่องจาก ในปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดมีจำนวนที่น้อยมากเพียง 17 แห่ง ขณะที่บริษัทประกันมีจำนวนเกือบ 100 แห่ง
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีแผนที่จะชวนให้บริษัทประกันเข้ามาจดทะเบียนในตลาดใน ปี 2554ให้มากขึ้น ประกอบกับกฎหมายของบริษัทประกันนั้น กำหนดให้บริษัทประกัน จำกัด ทุกแห่งจะต้องแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนภายในปี 2556 เพื่อต้องการให้บริษัทประกันเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อที่จะระดมเงินทุนขยายธุรกิจแข่งกับบริษัทประกันต่างประเทศได้ และ เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล (CG)ที่ดีเหมือนกับธนาคารพาณิชย์
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะดึงบริษัทประกันเข้ามาจดทะเบียน โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวในการเข้าจดทะเบียน หน้าที่การเป็นบริษัทจดทะเบียน และประโยชน์ที่จะได้รับในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินปันผลที่จะได้รับยกเว้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรที่ดี นอกจากนี้หากมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบริษัทนิติบุคคลก็จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทมากยิ่งขี้น ขณะที่ภาระหน้าที่ของการมีสถานะการเป็นบจ.ไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ
นายสรชน กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทประกันที่มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนประมาณ 10 แห่ง โดยหากเข้าจดทะเบียนในปีนี้ได้ 4-5 บริษัทถือว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทที่เข้าจดทะเบียนนั้นเชื่อว่าจะเป็นบริษัทประกันขนาดกลางที่ต้องการที่ขยายบริษัทให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะ บริษัทประกันขนาดใหญ่นั้นไม่ต้องการในเรื่องของเงินทุน
“ตอนนี้เราต้องชี้ให้บริษัทประกันเห็นว่าการขยับมาเป็นบริษัทจดทะเบียนนั้นภาระนั้นมีไม่มาก แต่ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมากกว่า ในเรื่องการเข้าถึแหล่งเงินทุนที่ ภาพลักษณ์ของบริษัทดีขึ้น มีCG ที่ดี ได้ประโยชน์ทางภาษี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนขั้นตอนต่างๆต้องแต่ต้นปีเพราะ จะต้องใช้เวลาแต่งตัวประมาณ 6 เดือน และกว่าจะแปลงสภาพ ก็จะเข้าได้ประมาณปลายปี” นายสรชน กล่าว
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด กล่าวว่า แรงจูงใจที่จะให้บริษัทประกันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประเด็นหลักจะเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีกำไรที่มากขึ้นจากที่เสียภาษีลดลง มากกว่า การเข้ามาเพื่อหวังเงินระดมทุน เพราะ บริษัทประกันนั้นมีเงินทุนที่สูงอยู่แล้ว และหากได้รับประโยชน์ในเรื่องภาษีการควบรวมนั้นก็จะยิ่งเป็นแรงจูงใจในการเข้าจดทะเบียน เพราะ ในอนาคตนั้นแนวโน้มธุรกิจประกันจะมีการควบรวมกิจการมากขึ้น จากที่ทางการจะมีการปรับให้บริษัทประกันนั้นมีการทำระบบบัญชีที่เหมือนกับแบงก์พาณิชย์ทำให้บริษัทประกันที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่ได้หวังที่จะประกอบเป็นธุรกิจหลักก็จะมีการเลิกกิจการทำให้ต้องควบรวม
ทั้งนี้บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าจดทะเบียน แต่ต้องขึ้นอยู่กับแรงจูงใจ ว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนนั้นน่าสนใจหรือไม่ เพื่อที่จะนำเรื่องไปเสนอให้กับผู้ถือหุ้นทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับเพื่อพิจารณาในการเข้าจดทะเบียน โดยต้องติดตามว่าจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคลแก่บริษัทจดทะเบียนต่ออีกหรือไม่
นายสรชน บุญสอง ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายประกันภัยและกฎหมายหุ้นส่วนบริษัท บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเคนซี จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษากฎหมายประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทเบเคอร์ฯ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)ในการให้ข้อมูลแก่บริษัทประกันภัยเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เนื่องจาก ในปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดมีจำนวนที่น้อยมากเพียง 17 แห่ง ขณะที่บริษัทประกันมีจำนวนเกือบ 100 แห่ง
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีแผนที่จะชวนให้บริษัทประกันเข้ามาจดทะเบียนในตลาดใน ปี 2554ให้มากขึ้น ประกอบกับกฎหมายของบริษัทประกันนั้น กำหนดให้บริษัทประกัน จำกัด ทุกแห่งจะต้องแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนภายในปี 2556 เพื่อต้องการให้บริษัทประกันเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อที่จะระดมเงินทุนขยายธุรกิจแข่งกับบริษัทประกันต่างประเทศได้ และ เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล (CG)ที่ดีเหมือนกับธนาคารพาณิชย์
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะดึงบริษัทประกันเข้ามาจดทะเบียน โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวในการเข้าจดทะเบียน หน้าที่การเป็นบริษัทจดทะเบียน และประโยชน์ที่จะได้รับในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินปันผลที่จะได้รับยกเว้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรที่ดี นอกจากนี้หากมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีบริษัทนิติบุคคลก็จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทมากยิ่งขี้น ขณะที่ภาระหน้าที่ของการมีสถานะการเป็นบจ.ไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ
นายสรชน กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทประกันที่มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนประมาณ 10 แห่ง โดยหากเข้าจดทะเบียนในปีนี้ได้ 4-5 บริษัทถือว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทที่เข้าจดทะเบียนนั้นเชื่อว่าจะเป็นบริษัทประกันขนาดกลางที่ต้องการที่ขยายบริษัทให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะ บริษัทประกันขนาดใหญ่นั้นไม่ต้องการในเรื่องของเงินทุน
“ตอนนี้เราต้องชี้ให้บริษัทประกันเห็นว่าการขยับมาเป็นบริษัทจดทะเบียนนั้นภาระนั้นมีไม่มาก แต่ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นมากกว่า ในเรื่องการเข้าถึแหล่งเงินทุนที่ ภาพลักษณ์ของบริษัทดีขึ้น มีCG ที่ดี ได้ประโยชน์ทางภาษี และการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนขั้นตอนต่างๆต้องแต่ต้นปีเพราะ จะต้องใช้เวลาแต่งตัวประมาณ 6 เดือน และกว่าจะแปลงสภาพ ก็จะเข้าได้ประมาณปลายปี” นายสรชน กล่าว
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด กล่าวว่า แรงจูงใจที่จะให้บริษัทประกันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประเด็นหลักจะเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคล เพื่อที่จะทำให้บริษัทมีกำไรที่มากขึ้นจากที่เสียภาษีลดลง มากกว่า การเข้ามาเพื่อหวังเงินระดมทุน เพราะ บริษัทประกันนั้นมีเงินทุนที่สูงอยู่แล้ว และหากได้รับประโยชน์ในเรื่องภาษีการควบรวมนั้นก็จะยิ่งเป็นแรงจูงใจในการเข้าจดทะเบียน เพราะ ในอนาคตนั้นแนวโน้มธุรกิจประกันจะมีการควบรวมกิจการมากขึ้น จากที่ทางการจะมีการปรับให้บริษัทประกันนั้นมีการทำระบบบัญชีที่เหมือนกับแบงก์พาณิชย์ทำให้บริษัทประกันที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่ได้หวังที่จะประกอบเป็นธุรกิจหลักก็จะมีการเลิกกิจการทำให้ต้องควบรวม
ทั้งนี้บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าจดทะเบียน แต่ต้องขึ้นอยู่กับแรงจูงใจ ว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนนั้นน่าสนใจหรือไม่ เพื่อที่จะนำเรื่องไปเสนอให้กับผู้ถือหุ้นทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับเพื่อพิจารณาในการเข้าจดทะเบียน โดยต้องติดตามว่าจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีนิติบุคคลแก่บริษัทจดทะเบียนต่ออีกหรือไม่
