“บล.ภัทร” เผย ตัวเลขตลาดหุ้นไทยปีก่อนพุ่ง 40% รับอานิสงส์เม็ดเงินต่างชาติหนุน ส่วนปี 54 เม็ดเงินดังกล่าวกลายเป็นตัวฉุดการเติบโตดัชนี หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมืองยังต้องจับตา โดยนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสหลุด 900 จุด
วันนี้ (16 ก.พ.) ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศในขณะนี้ คือความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ และเหตุความขัดแย้งกับกัมพูชา และสถานการณ์เงินเฟ้อในเอเชีย ซึ่งต่างชาติมองว่าธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าคาดการณ์ ซึ่งขณะนี้นักลงทุนต่างชาติเริ่มตั้งคำถามเรื่องการเมืองและหาข้อมูลจากนักวิเคราะห์มากขึ้นโดยใน1ชั่วโมงที่ไปพบนักลงทุนต่างชาติ จะใช้เวลาประมาณ30% ในการคุยเรื่องการเมือง
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า ในสายตาของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเห็นตรงกันว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) น่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลเพราะคิดว่าประชาชนน่าจะชื่นชอบที่ทำให้เศรษฐกิจปีที่ผ่านมาเติบโตดีมีการใช้นโยบายประชานิยม และราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่าหากมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง เพราะคงมีการประท้วงให้ยุบสภาอีกก็จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เงินลงทุนต่างชาติไหลออก
ส่วนเงินเฟ้อในประเทศขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งมีความกังวลว่าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับขึ้นต่อเนื่องรัฐบาลไม่มีเงินที่จะตรึงต่อ ราคาน้ำมันก็จะปรับขึ้นเร็วและแรง เงินเฟ้อก็จะขึ้นแรงตามไปด้วยผลกระทบที่ตามมาก็จะรุนแรงมากกว่าการทยอยปรับราคาน้ำมัน
“รัฐบาลใช้เม็ดเงินสูงถึง 5,000 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อแบกรับภาระราคาน้ำมันดีเซล เพื่อตรึงให้อยู่ในระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาแท้จริงเฉลี่ย 33 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามมองว่า กองทุนน้ำมันไม่สามารถแบกรับภาระราคาน้ำมันดีเซลได้ในระยะยาวซึ่งปัญหาที่จะตามมา คือ ภาวะเงินเฟ้อ”
สำหรับการไหลออกของเงินต่างชาติในช่วงนี้นั้น ในมุมมองของ ดร.ศุภวุฒิ ถือว่า ยังไม่น่ากังวลเนื่องจากสัดส่วนการขายในระดับหมื่นล้านนั้นถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับเงินลงทุนของต่างชาติที่มีอยู่ในตลาดหุ้นไทยทั้งหมดเกือบ2ล้านล้านบาท โดยปัจจัยที่อาจทำให้เงินต่างชาติไหลออกอย่างมีนัยสำคัญนั้นมองว่าอยู่ที่สถานการณ์การเมือง หรือการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงจากการที่นักลงทุนต่างชาติอาจโยกย้ายเงินทุนกลับไปลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกาและบางประเทศในทวีปยุโรปหลังประเทศดังกล่าวฟื้นตัวดีกว่าที่คาด ทั้งนี้ เชื่อว่า หุ้นไทยผันผวนจนถึงกลางปีนี้ และมีโอกาสหลุดระดับ 900 จุด โดยภายใต้สถานการณ์ แนะนำการจัดสรรเงินลงทุนหรือพอร์ตว่านักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายรูปแบบการลงทุน (Asset Allocation) ให้ถูกต้องถือว่ามีส่วนสำคัญในการกำหนดผลตอบแทนการลงทุนได้เป็นอย่างดี
บล.ภัทร แนะนำต่อว่า ปีนี้หุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกดังนั้นควรให้น้ำหนักการลงทุนระยะสั้นในหุ้นภายใต้สภาวการณ์ปกติสูงกว่าเกณฑ์คือ 51% จากเกณฑ์ค่าเฉลี่ยที่ 50% แต่ควรลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยจากค่าเฉลี่ยที่40% เหลือ38%เนื่องจากความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น
ขณะที่ หุ้นต่างประเทศ ในส่วนของตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้น บล.ภัทรฯ แนะการลงทุนเป็นน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์เล็กน้อยคือ 3% จากค่าเฉลี่ยที่ 2% ขณะที่น้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯแนะนำเป็นน้ำหนักสูงกว่าเกณฑ์ คือ 5% จากค่าเฉลี่ยที่ 3% ส่วนหุ้นยุโรปมองว่ายังมีความเสี่ยงอีกมากจึงยังไม่แนะนำให้ลงทุนช่วงนี้
ส่วนมุมมองต่อการลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ บล.ภัทรฯแนะนำลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ จากค่าเฉลี่ย 30% เหลือ 21.5% หลังมองว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาขึ้นโดยคาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ภายในครึ่งแรกของปีนี้ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ บล.ภัทร ให้น้ำหนักการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าเกณฑ์ เนื่องจากผลตอบแทนเงินปันผลยังน่าลงทุนเช่นเดียวกับการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ และปัญหาหนี้รัฐบาลที่เกิดกับหลายประเทศขณะนี้