"BECL" คาดปริมาณจราจรบนทางด่วนปี 54 โตกว่าปีที่แล้ว 2.5-2.8% โดยวันธรรมดาปริมาณการจราจรอยู่ 1 ล้านคันต่อวัน แต่ในส่วนรายได้รวมปีนี้มองว่าอาจต่ำกว่าปีก่อน หลังแบ่งรายได้เก็บค่าทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 ช่วง A-B ลดลง แต่จะพยายามพยุงไม่ให้กำไรสุทธิลดต่ำกว่าเดิม
วันนี้ (7 ก.พ.) นางสุทธิดา สุขะนินทร์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) กล่าวว่า คาดปริมาณการจราจรบนทางด่วนในปี 54 จะเติบโต 2.5-2.8% จากปี 53 ทีมีปริมาณการจราจรเฉลี่ย 9.74 แสนคัน/วัน โดยวันธรรมดาขณะนี้มีปริมาณจราจรที่ 1 ล้านคัน/วัน เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ดีต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในแง่ของรายได้รวมในปี 54 คาดว่าจะต่ำกว่าปี 53 เนื่องจากส่วนแบ่งรายได้จากการเก็บค่าทางด่วนขั้นที่ 1 และทางด่วนขั้นที่ 2 ช่วง A และ B ลดลง หลังจากบริษัทจะได้รับส่วนแบ่งเหลือ 40% ในเดือนมี.ค.54 จากเดิมที่ได้รับ 50% โดยปริมาณรถใช้ทางด่วนขั้นที่ 1 และทางด่วนขั้นที่ 2 ช่วง A และ B มีสัดส่วน 70% ของรายได้ค่าผ่านทาง บริษัทจึงได้รับผลกระทบมากพอสมควร
ส่วนปี 53 บริษัทมีรายได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2% เพิ่มเป็น 2.5% มาที่ 7.8 พันล้านบาท จากปริมาณการจราจรที่เติบโต 2.3%
"รายได้ปีนี้ติดลบ แต่ไม่ถึง 10% เพราะส่วนแบ่งที่ได้ลดลงเฉพาะในเมือง ทางด่วนที่ 1 และทางด่วน 2 ช่วง A-B จากที่เคยได้ 50/50 ก็เป็น 40/60 แต่ในเมืองมีรถวิ่ง 70% ของปริมาณจราจรที่เรามี...กำไรปีนี้ถ้าเสมอตัวได้ก็เก่งแล้ว"นางสุทธิดา กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทพยายามพยุงกำไรสุทธิไม่ให้ลดต่ำลงไปตามรายได้ที่ปรับตัวลดลง ในปีนี้จึงมีแผนคืนเงินกู้ประมาณ 920 ล้านบาท เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 80-120 ล้านบาท และบริษัทได้ขายที่ดินพื้นที่กว่า 30 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ซึ่งจะบันทึกกำไรประมาณ 105 ล้านบาทในไตรมาส 1/54
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 2.9 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 หรือ ไตรมาส 4 ปี 54 เพื่อชดเชยหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในเดือน พ.ย.54
สำหรับกรณีการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะเปิดประมูลโครงการทางด่วนสายใหม่ (ทางพิเศษศรีรัช) ระยะทาง 17 กม. โดยจะให้เอกชนทุกราย รวมทั้ง BECL ยื่นประมูลนั้น นางสุทธิดา กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจเข้าร่วมเพราะบริษัทต้องการขยายเส้นทางออกไป ตอนนี้อยู่ระหว่างศึกษา รวมถึงเรื่องการเงินด้วย โดยคาดว่าหากจะลงทุนโครงการดังกล่าว ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1.7-2.0 หมื่นล้านบาท ไม่รวมค่าที่ดิน และคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี