โจนส์ แลง ลาซาลล์ เผยแนวโน้มบริษัทประกัน นักลงทุนสถาบันกระจายพอร์ตลงทุนอาคารสำนักงาน โรงแรม หลังต่างชาติขายทิ้งนับจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นับจากวิกฤติการเงินโลก แนวโน้มการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทย เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม รวมถึงที่ดินเพื่อการลงทุน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่การลงทุนส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น กลุ่มนักลงทุนสถาบัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทประกัน เพราะกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีเม็ดเงินลงทุนมากทำให้ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนมายังอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น
“ทั้งนี้ในอนาคตนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวจะมีบทบาทต่อธุรกิจอสังหาฯมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการการซื้อขายอาคารสำนักงานในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล้วนมาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ทั้งนั้น รวมถึงนักธุรกิจรายใหญ่ 5 อันดับแรกของไทยที่ยังมีการซื้อพอร์ตอสังหาฯหรือที่ดิน”
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ หลังจากวิกฤตการเงินช่วงปี 2551 ที่ผ่านมาได้ขายอสังหาฯที่มีอยู่ออกไปจำนวนมาก เพื่อนำเงินกลับไปประเทศของตนเอง รวมถึงการการขายในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เพราะนักลงทุนต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้จะเริ่มมีน้อยลงเพราะได้ขายไปจำนวนมากในปี 53 ส่วนที่จะมีการซื้อขายในปี 54 ส่วนใหญ่เป็นการเจรจายืดเยื้อมาจากปีที่ผ่านมา
นางสุพินกล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมในไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ตลาดเช่าซื้อโรงงานและที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น จากการขายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย อย่างไรก็ตาม คู่แข่งรายสำคัญของไทยในปัจจุบันคือ อินโดนีเชีย จากอดีตที่เป็นเวียดนาม แต่มีปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน รวมไปถึงระบบขนส่งและแรงงานไม่ได้คุณภาพ
สำหรับอินโดนีเชีย มีข้อได้เปรียบไทยที่ค่าแรงถูกกว่าถึง 30% ภาวะการเมืองในปัจจุบันนิ่งกว่าไทย แต่มีปัญหาในเรื่องภูมิประเทศที่เป็นเกาะอยากแก่การขนส่ง อย่างไรก็ตามไทยมีข้อได้เปรียบ คือ ฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพ อีกทั้งไทยขึ้นชื่อเรื่องศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย แต่ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองจะเป็นปัจจัยกระทบการลงทุนในไทย
“ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจประกัน มีบทบาทต่อธุรกิจอสังหาฯมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการการซื้อขายอาคารสำนักงานในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล้วนมาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ทั้งนั้น รวมถึงนักธุรกิจรายใหญ่ 5 อันดับแรกของไทยที่ยังมีการซื้อพอร์ตอสังหาฯหรือที่ดิน” นางสุพินท์กล่าว
นางสุพินท์ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯในปีนี้ มียอดการเช่าพื้นที่สูงขึ้น โดยซัพพลายที่จะสร้างเสร็จในปีนี้ อยู่ที่ 127,410ตารางเมตร จากปีก่อนมีเพียง 5,591 ตารางเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เศรษฐกิจที่ขยายตัวเนื่องจะช่วยเพิ่มความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานเพิ่มมากขึ้น แต่ต้องอยู่ภายไต้สุมติฐานไม่มีเหตุวุ่นวายทางการเมือง
ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯชั้นใน ระดับไฮเอ็น ราคา 1.5 แสนบาทขึ้นไป มีจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จอีก 1,894ยูนิต จากจำนวนยนิตที่มีอยู่ในตลาด 22,834 ยูนิต ส่วนคอนโดมิเนียมระดับกลาง ราคาขาย 9หมื่นบาท-1.5 แสนบาท ต่อยูนิต จะมีจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จเพิ่ม 3,352 ยูนิต จากจำนวนยูนิตที่มีอยู่ในตลาด 21,547 ยูนิต
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นับจากวิกฤติการเงินโลก แนวโน้มการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทย เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม รวมถึงที่ดินเพื่อการลงทุน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่การลงทุนส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น กลุ่มนักลงทุนสถาบัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทประกัน เพราะกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีเม็ดเงินลงทุนมากทำให้ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนมายังอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น
“ทั้งนี้ในอนาคตนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวจะมีบทบาทต่อธุรกิจอสังหาฯมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการการซื้อขายอาคารสำนักงานในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล้วนมาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ทั้งนั้น รวมถึงนักธุรกิจรายใหญ่ 5 อันดับแรกของไทยที่ยังมีการซื้อพอร์ตอสังหาฯหรือที่ดิน”
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ หลังจากวิกฤตการเงินช่วงปี 2551 ที่ผ่านมาได้ขายอสังหาฯที่มีอยู่ออกไปจำนวนมาก เพื่อนำเงินกลับไปประเทศของตนเอง รวมถึงการการขายในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เพราะนักลงทุนต่างชาติได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้จะเริ่มมีน้อยลงเพราะได้ขายไปจำนวนมากในปี 53 ส่วนที่จะมีการซื้อขายในปี 54 ส่วนใหญ่เป็นการเจรจายืดเยื้อมาจากปีที่ผ่านมา
นางสุพินกล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมในไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ตลาดเช่าซื้อโรงงานและที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น จากการขายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย อย่างไรก็ตาม คู่แข่งรายสำคัญของไทยในปัจจุบันคือ อินโดนีเชีย จากอดีตที่เป็นเวียดนาม แต่มีปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมายที่ไม่ชัดเจน รวมไปถึงระบบขนส่งและแรงงานไม่ได้คุณภาพ
สำหรับอินโดนีเชีย มีข้อได้เปรียบไทยที่ค่าแรงถูกกว่าถึง 30% ภาวะการเมืองในปัจจุบันนิ่งกว่าไทย แต่มีปัญหาในเรื่องภูมิประเทศที่เป็นเกาะอยากแก่การขนส่ง อย่างไรก็ตามไทยมีข้อได้เปรียบ คือ ฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพ อีกทั้งไทยขึ้นชื่อเรื่องศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย แต่ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองจะเป็นปัจจัยกระทบการลงทุนในไทย
“ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจประกัน มีบทบาทต่อธุรกิจอสังหาฯมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากการการซื้อขายอาคารสำนักงานในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ล้วนมาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ทั้งนั้น รวมถึงนักธุรกิจรายใหญ่ 5 อันดับแรกของไทยที่ยังมีการซื้อพอร์ตอสังหาฯหรือที่ดิน” นางสุพินท์กล่าว
นางสุพินท์ กล่าวต่อว่า สำหรับตลาดเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯในปีนี้ มียอดการเช่าพื้นที่สูงขึ้น โดยซัพพลายที่จะสร้างเสร็จในปีนี้ อยู่ที่ 127,410ตารางเมตร จากปีก่อนมีเพียง 5,591 ตารางเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เศรษฐกิจที่ขยายตัวเนื่องจะช่วยเพิ่มความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานเพิ่มมากขึ้น แต่ต้องอยู่ภายไต้สุมติฐานไม่มีเหตุวุ่นวายทางการเมือง
ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพฯชั้นใน ระดับไฮเอ็น ราคา 1.5 แสนบาทขึ้นไป มีจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จอีก 1,894ยูนิต จากจำนวนยนิตที่มีอยู่ในตลาด 22,834 ยูนิต ส่วนคอนโดมิเนียมระดับกลาง ราคาขาย 9หมื่นบาท-1.5 แสนบาท ต่อยูนิต จะมีจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จเพิ่ม 3,352 ยูนิต จากจำนวนยูนิตที่มีอยู่ในตลาด 21,547 ยูนิต