xs
xsm
sm
md
lg

"กรณ์"อ้อนบลจ.ช่วยดึงเม็ดเงินกองทุนรวมดันศก.ลุยเมกะโปรเจกต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"กรณ์" โปรยยาหอมนักลงทุนสถาบัน ยกบทบาทกองทุนรวม ตัวกลางสำคัญทางการเงิน ช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ชูความหวัง ใช้เป็นช่องทางระดมทุน ลุยโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “บทบาทของอุตสาหกรรมจัดการลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย” ในงาน สัมมนาประจำปี 2553 ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ว่า อุตสาหกรรมจัดการลงทุนถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ในฐานะที่กองทุนรวมเป็นตัวกลางทางการเงินที่สำคัญ ในการระดมทุนจากประชาชนและหน่วยธุรกิจที่มีเงินออมส่วนเกิน มาให้แก่หน่วยธุรกิจต้องการแหล่งเงินเพื่อการลงทุน ซึ่งก่อให้เกิดการไหลเวียนของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทที่ต้องการเงินทุนสามารถนำเงินทุนไปขยายกำลังการผลิต ก่อให้เงินการจ้างงานและรายได้ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวด้วย

ทั้งนี้ กองทุนรวมเป็นผู้ลงทุนสถาบันที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับอุปทานตราสารหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการระดมทุนของภาครัฐในประเทศนี้ ช่วยลดภาระของรัฐในการพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศ และในอนาคตอันใกล้นี้ รัฐยังมีโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายโครงการ ที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศและการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต และอาจมีความจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากกองทุนรวม ทั้งในรูปการเสนอขายตราสารหนี้หรือผ่านการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่อไป

นายกรณ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมกองทุนยังเป็นแหล่งเงินออมเพื่อรองรับการเกษียณอายุสำหรับประชาชน และได้ช่วยสร้างเสริมให้ประชาชนรู้จักการเก็บออมเพื่อรองรับความต้องการทางการเงินในอนาคต อาทิ การออมเพื่อการเกษียณอายุ ซึ่งเป็นการออมภาคสมัครใจที่รัฐได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว โดยที่ผ่านมากองทุนเหล่านี้ได้รับการตอบสนองจากประชาชนเป็นอย่างดี ซึ่งการออมเพื่อการเกษียณนี้ นับเป็นเรื่องที่ภาครัฐได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาระดับการสะสมทุนของประเทศ (Capital Formation) ลดการกู้ยืมแหล่งเงินทุนภายนอกประเทศ และยังช่วยลดภาระหนี้สาธารณะจากการจัดรัฐสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางกระทรวงการคลังได้มีการสนับสนุนให้มีนโยบายจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ โดยเป็นการนำเงินออมวงกว้างเข้ามาสู่ตลาดทุน ซึ่งมั่นใจว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ดี อาจจะมีขนาดเล็กกว่า กองทุนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)และกองทุนประกันสังคม ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนออมเงินเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากรัฐบาลได้มีการค้ำประกันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก อีกทั้งไม่มีความเสี่ยงสำหรับประชาชนที่เข้ามาลงทุน

"กองทุนรวมถือเป็นผู้ลงทุนสถาบันซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพคล่องแก่ตลาดการเงินของไทย รวมทั้งยังมีส่วนสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนทางการเงินแก่ทั้งนักลงทุนรายย่อยในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะนำไปสู่มูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นในอนาคต"

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ ได้เดินทางไปให้ข้อมูลนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่น พบว่า นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและมีความเข้าใจในการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาต่างๆของรัฐ พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ยืนยันจุดยืนของรัฐว่าจะยังคงดำเนินแนวนโยบายเพื่อสนับสนุนให้มีการออมและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของประชาชนต่อไป โดยจะเห็นได้ว่าได้มีการกำหนดให้แผนพัฒนาตลาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจในระดับชาติแล้ว

ทั้งนี้ ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจจัดการกองทุนได้เติบโตเป็นอย่างมาก ทั้งในเชิงปริมาณและผลิตภัณฑ์ ขนาดสินทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 0.22 ล้านล้านบาท เป็น 2.58 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2552 ซึ่งขนาดของธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 28 ของ GDP หรือ 37.8% ของเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ครอบคลุมผู้ลงทุนประมาณ 4.4 ล้านบัญชี
กำลังโหลดความคิดเห็น