xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.ชี้โจทย์แบงก์ยังท้าทาย แนะบริหารความเสี่ยง-รับมือ ดบ.ขาขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธปท.ชี้ โจทย์สำคัญ แบงก์ปีนี้ต้องปรับตัวรองรับภาวะแวดล้อมใหม่ และโอกาสธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแนะวางยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน สร้างความพร้อมในการปล่อยสินเชื่อ-รับทิศทาง ดบ.ขาขึ้น บริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ และรับมือความผันผวนตลาดการเงินต่างประเทศ ยันไม่ห่วงขึ้นดอกเบี้ยจะเพิ่มภาระค่างวด มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นดันรายได้เพิ่มตามด้วย แต่จะต้องดูให้การเมือง-เศรษฐกิจโลกนิ่งด้วย


นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “บทบาทธนาคารพาณิชย์ไทยปี 2553 ต่อภาวะฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย” ซึ่งจัดโดยบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด ว่า ในปีนี้ระบบธนาคารพาณิชย์จะมีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนตลาดการเงินโลก ทำให้โจทย์สำคัญของธนาคารพาณิชย์ต้องมีการปรับตัวรองรับกับภาวะแวดล้อมใหม่ ขณะเดียวกันโอกาสธุรกิจมีเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเอเชีย

ทำให้ปีนี้ธนาคารพาณิชย์ต้องมีการวางยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.การรองรับการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต โดยขณะนี้ระบบธนาคารพาณิชย์มีความพร้อมในการทำหน้าที่ในการสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในแง่ของการขยายสินเชื่อ ซึ่งเห็นได้ตัวเลขสำคัญล่าสุดสะท้อนฐานะที่ดีไม่ว่าจะเป็นความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในสัดส่วนสูงถึง 16.1% ถือว่ามีความเข้มแข็ง สภาพคล่องระบบการเงินที่มีจำนวนมาก ล่าสุดอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ระดับ 94.4% รวมถึงสัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 4.8% ณ สิ้นเดือนธ.ค.ถือว่าต่ำมาก

2.ธนาคารพาณิชย์ต้องให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยงจากความต้องการสินเชื่อในประเทศที่เพิ่มขึ้นช่วงระยะต่อไปตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยและกระแสเงินทุนไหลเข้าที่อาจส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีสภาพคล่องสูงขึ้นด้วย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และการแข่งขันที่สูงขึ้น และ 3.ธนาคารพาณิชย์ต้องเตรียมรับมือความผันผวนตลาดการเงินต่างประเทศที่จะมีมากขึ้นในปีนี้ จึงต้องมีการบริหารความเสี่ยงด้านตลาดและด้านสภาพคล่องให้ดี

ต่อข้อซักถามที่ว่า เมื่อการเมืองนิ่งและไม่เป็นแรงกดดันต่อไปแล้ว ธปท.จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ทันทีนั้น รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.กล่าวว่า ความไม่แน่นอนต้องดูทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะภายในประเทศด้วย หากปัจจัยเหล่านี้ลดขนาดลงมาก็จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนในการดำเนินนโยบายการเงินได้ อย่างไรก็ตาม ธปท.ไม่ได้เป็นห่วงว่าเมื่อประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วจะมีผลต่อการผ่อนชำระค่างวดของภาคธุรกิจ เพราะมั่นใจว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในช่วงที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย การหารายได้ของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย

“ลักษณะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นไปตามข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามาในช่วงนั้นๆ โดยแม้จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าระดับปัจจุบัน แต่ก็จะดูแลไม่ให้เป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวเศรษฐกิจและการปรับตัวของตลาดและภาคธุรกิจไม่ให้ได้รับกระทบ ฉะนั้น ทิศทางนโยบายของเราก็ไม่ใช่บีบบังคับจนเกินไป แต่จะนำอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น” รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทมีทั้งอ่อนค่าและแข็งค่าขึ้นมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเงินบาทแข็งหรืออ่อนค่าก็ย่อมมีผลต่อทั้งผู้ส่งออกและนำเข้า ดังนั้น ธปท.จะดูแลการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทให้เป็นไปตามกลไกตลาด และปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นสำคัญ และให้ความผันผวนอยู่ในระดับที่ภาคเอกชนปรับตัวได้
กำลังโหลดความคิดเห็น