เลขาธิการ กบข.ประเมินความเสี่ยง 26 ก.พ.เป็นไปได้ 3 แนวทาง ยึดทั้งหมด-ไม่ยึด-ยึดบางส่วน เตรียมสำรองเงินสด 6 พันล้าน ลุยซื้อหุ้นพื้นฐานดี-ราคาถูก แย้มนโยบายการลงทุนปี 53 เตรียมปรับพอร์ตลงทุนตราสารหนี้ เน้นสภาพคล่องสูง-ระยะสั้น ด้านเลขาฯ กองทุน สปส.ยอมรับ ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นโดยรวม พร้อมเตรียมงบกว่า 15,000 ล้านบาท ซื้อหุ้นเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน
น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.ได้เตรียมเงินสดสำรองเอาไว้ 2% หรือประมาณ 6 พันล้านบาท จากเงินลงทุนที่มีทั้งหมด 3 แสนล้านบาท เพื่อรอซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีราคาถูก หากเกิดความผันผวนขึ้น ในช่วงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมองว่า น่าจะมีผลกระทบต่อหุ้นในระยะสั้น เนื่องจาก เศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง
"เราได้ตั้งสมมติฐานเหตุการณ์วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 เอาไว้ 3 กรณี คือ 1.ยึดทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งเป็นกรณีเลวร้ายสุด จะทำให้เกิดการตื่นตระหนกของนักลงทุน และคงจะมีการแห่เทขายหุ้นระยะสั้น ซึ่งเรื่องนี้ กบข.เตรียมเงินสำรองไว้ 2% เพื่อซื้อหุ้นพื้นฐานดีปันผลดี เพราะมองว่าเป็นโอกาสการลงทุนในช่วงที่หุ้นตก 2.ไม่ยึดทรัพย์ จะต้องรอดูสถานการณ์ และท่าทีการเคลื่อนไหวของม็อบกลุ่มต่างๆ และ 3.ยึดทรัพย์บางส่วน ซึ่งเชื่อว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น"
เลขาธิการคณะกรรมการ กบข. กล่าวเสริมว่า กบข. ได้ปรับนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ โดยลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่งอายุสั้นลงไม่เกิน 2-3 ปี เนื่องจากคาดว่า ในครึ่งหลังของปีอัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.5% และเงินเฟ้อปรับขึ้นไม่เกิน 3% ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนที่ 70% ของพอร์ตลงทุน
ด้านนายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยอมรับว่าในช่วงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 นี้ อาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวมบ้าง แต่ สปส.เองก็ไม่ได้กังวลอะไร และคิดว่าไม่มีผลกระทบต่อหุ้นที่ สปส.ซื้อไว้ เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่มีความมั่นคงและระยะยาว แต่จะมีการวิเคราะห์หน่วยลงทุน การบริหารการลงทุนของ สปส.อย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ หากหุ้นตัวใดที่มีความน่าเชื่อถือ ระดับดีเยี่ยมขึ้นไป และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อันดับที่ 1-100 ตกลงในวันดังกล่าว สปส.ก็จะพิจารณาซื้อ ซึ่งเงินลงทุนในหุ้นของ สปส.ในปี 2553 มีทั้งหมด 15,000 ล้านบาท โดยจะพิจารณานำมาซื้อเก็บไว้ เพื่อการลงทุนระยะยาวและนำผลกำไรมาบริหาร เพื่อให้เกิดสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนที่มีอยู่กว่า 10 ล้านคนทั่วประเทศเพิ่มขึ้น