นักลงทุนญี่ปุ่นเสนอไทยลดภาษีนิติบุคคล มองเก็บอัตรา 30% สูงสุดในอาเซียน แนะให้ปรับเป็นแบบสากล พร้อมหนุนให้ทำ "เอฟทีเอ" เชื่อมโยงเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิต โดยใช้แรงงานต่างด้าว
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการสายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีผลการสำรวจความเห็นนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยระบุว่า นักลงทุนได้เสนอว่า รัฐบาลไทยควรทบทวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บอัตรา 30% ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระดับที่สูงสุดที่ในอาเซียน หากปรับลดลงได้ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนให้มีเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต้องการให้ระบบภาษีของไทยเป็นไปตามรูปแบบสากล
นอกจากนั้น ต้องมีการเชื่อมโยงในลักษณะการทำข้อตกลงทางการค้า(FTA) ให้มากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต ขณะที่ไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน และยังต้องการการพัฒนาด้านเทคโนโลยี
ส่วนความกังวลของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อปัญหาด้านสังคมและการเมืองภายในประเทศนั้น นายวิรไท กล่าวว่า ถึงแม้การชุมนุมทางการเมืองจะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในตอนนี้ แต่ก็สร้างความกังวลสะสม จากที่ปัญหาทางสังคมไม่เคยติดอันดับความกังวลเลยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลมากขึ้นจนติดอันดับต้นๆ แล้ว
ขณะที่ปัญหามาบตาพุด เป็นเรื่องของการช็อก (Shock) มากกว่า แต่ก็คงทำให้เกิดความกังวลใจในระยะสั้น เพราะนักลงทุนต่างชาติก็ยังมั่นใจในกฎหมายของไทย
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเดินทางไปทำโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 11-12 มีนาคม 2553 นี้ ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไดวา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่จะไปโรดโชว์ญี่ปุ่นในวันที่ 11-13 มีนาคม 2553 นี้ เช่นกัน
นายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการสายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีผลการสำรวจความเห็นนักลงทุนญี่ปุ่นต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยระบุว่า นักลงทุนได้เสนอว่า รัฐบาลไทยควรทบทวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บอัตรา 30% ในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระดับที่สูงสุดที่ในอาเซียน หากปรับลดลงได้ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนให้มีเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต้องการให้ระบบภาษีของไทยเป็นไปตามรูปแบบสากล
นอกจากนั้น ต้องมีการเชื่อมโยงในลักษณะการทำข้อตกลงทางการค้า(FTA) ให้มากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต ขณะที่ไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน และยังต้องการการพัฒนาด้านเทคโนโลยี
ส่วนความกังวลของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น ต่อปัญหาด้านสังคมและการเมืองภายในประเทศนั้น นายวิรไท กล่าวว่า ถึงแม้การชุมนุมทางการเมืองจะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในตอนนี้ แต่ก็สร้างความกังวลสะสม จากที่ปัญหาทางสังคมไม่เคยติดอันดับความกังวลเลยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลมากขึ้นจนติดอันดับต้นๆ แล้ว
ขณะที่ปัญหามาบตาพุด เป็นเรื่องของการช็อก (Shock) มากกว่า แต่ก็คงทำให้เกิดความกังวลใจในระยะสั้น เพราะนักลงทุนต่างชาติก็ยังมั่นใจในกฎหมายของไทย
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเดินทางไปทำโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 11-12 มีนาคม 2553 นี้ ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไดวา ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่จะไปโรดโชว์ญี่ปุ่นในวันที่ 11-13 มีนาคม 2553 นี้ เช่นกัน
