กระเบื้องตราเพชรฯมั่นใจปี53ยอดขายโตต่อเนื่อง หลังสินค้าภาคเกษตรราคาดี ช่วยเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภคต่างจังหวัด ดันตลาดบ้านสร้างใหม่และซ่อมแซมบ้านโต พร้อมแจงผลประกอบการปี52 กว่า2,774.56ล้านบาท เติบโตจากปี51กว่า 11.69% ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นกว่า 32%
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือDRT กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบรัทว่า แนวโน้มธุรกิจกระเบื้องมุงหลังค้าในปี53 เริ่มมีทิศทางดีขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายการลงทุนรวมถึงการก่อสร้างและซ่อมแวมที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ซึ่งมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยบวกการปรับตัวของราคาพืชผลที่สูงขึ้นทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ในขระที่บริษัทเองมีผลิตภัณฑ์ใหม่จากสายการผลิตใหม่ NT 9 ซึ่งเริ่มเดินไลน์การผลิตและจะที่เริ่มออกจำหน่ายในต้นปีนี้ วึ่งจะส่งผลให้บรัทจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นจากปี52
ทั้งนี้ ในปี 52ที่ผ่านมา บริษัทมี รายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 2,774.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 จำนวน 290.47 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 11.69% ซึ่งเป็นผลจากการใช้นโยบายการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดรายการส่งเสริมการขายร่วมกับผู้แทนจำหน่าย และเพิ่มจุดกระจายสินค้าทุกพื้นที่ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยมีต้นทุนขายและการให้บริการจำนวน 1,868.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 150.07 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 8.73% ตามปริมาณการขาย ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการลดต้นในการผลิต
ขณะที่บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในปี52เพิ่มขึ้นจากปี 51ประมาณ9.74% ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 417.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน 36.16 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 9.49% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นจำนวน 47.84 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริหารของบริษัทลดลงจำนวน 11.68 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นของบริษัทในปี52ของบริษัทอยู่ที่ 920.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี51 ที่มีกำไรขั้นต้น 780.98 ล้านบาท 18.35% และมีกำไรสุทธิ 376.30ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี51ที่มีกำไรสุทธิ 284.82ล้านบาทประมาณ32.12% หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า91.48ล้านบาท
“การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิในปี52ทำให้บริษัท มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิหุ้น 0.28 บาท คิดเป็นกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหุ้น 0.09 บาทหรือเพิ่มขึ้น32.12% โดยมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 18.75% ณ วันสิ้นปี 2551 มาเป็น 24.46% ณ วันที่ 31 ธ.ค.52”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากวันสิ้นปี51 จำนวน 352.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น17.66% เนื่องจากมีลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 54.55 ล้านบาท สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นสุทธิ 5.09 ล้านบาท โดยมีทรัพย์สินถาวรและทรัพย์สินไม่หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นสุทธิ 280.98 ล้านบาท และทรัพย์สินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นสุทธิ13.73 ล้านบาท แต่มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง1.98 ล้านบาท ขณะที่ มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 239.76 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 46.73% จากปี51เนื่องจากมีหนี้สินไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 160.72 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้าและหนี้สินอื่นๆ เพิ่มขึ้นสุทธิ 79.04 ล้านบาท
นายอัศนี ชันทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือDRT กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบรัทว่า แนวโน้มธุรกิจกระเบื้องมุงหลังค้าในปี53 เริ่มมีทิศทางดีขึ้น จากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายการลงทุนรวมถึงการก่อสร้างและซ่อมแวมที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ซึ่งมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยบวกการปรับตัวของราคาพืชผลที่สูงขึ้นทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ในขระที่บริษัทเองมีผลิตภัณฑ์ใหม่จากสายการผลิตใหม่ NT 9 ซึ่งเริ่มเดินไลน์การผลิตและจะที่เริ่มออกจำหน่ายในต้นปีนี้ วึ่งจะส่งผลให้บรัทจะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นจากปี52
ทั้งนี้ ในปี 52ที่ผ่านมา บริษัทมี รายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 2,774.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 จำนวน 290.47 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 11.69% ซึ่งเป็นผลจากการใช้นโยบายการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดรายการส่งเสริมการขายร่วมกับผู้แทนจำหน่าย และเพิ่มจุดกระจายสินค้าทุกพื้นที่ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยมีต้นทุนขายและการให้บริการจำนวน 1,868.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 150.07 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 8.73% ตามปริมาณการขาย ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากมาตรการลดต้นในการผลิต
ขณะที่บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในปี52เพิ่มขึ้นจากปี 51ประมาณ9.74% ซึ่งเกิดจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 417.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน 36.16 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 9.49% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดและการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้นจำนวน 47.84 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายด้านบริหารของบริษัทลดลงจำนวน 11.68 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นของบริษัทในปี52ของบริษัทอยู่ที่ 920.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี51 ที่มีกำไรขั้นต้น 780.98 ล้านบาท 18.35% และมีกำไรสุทธิ 376.30ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี51ที่มีกำไรสุทธิ 284.82ล้านบาทประมาณ32.12% หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า91.48ล้านบาท
“การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิในปี52ทำให้บริษัท มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 51 ที่มีกำไรสุทธิหุ้น 0.28 บาท คิดเป็นกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นหุ้น 0.09 บาทหรือเพิ่มขึ้น32.12% โดยมีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 18.75% ณ วันสิ้นปี 2551 มาเป็น 24.46% ณ วันที่ 31 ธ.ค.52”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากวันสิ้นปี51 จำนวน 352.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น17.66% เนื่องจากมีลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 54.55 ล้านบาท สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นสุทธิ 5.09 ล้านบาท โดยมีทรัพย์สินถาวรและทรัพย์สินไม่หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นสุทธิ 280.98 ล้านบาท และทรัพย์สินหมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้นสุทธิ13.73 ล้านบาท แต่มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง1.98 ล้านบาท ขณะที่ มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 239.76 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 46.73% จากปี51เนื่องจากมีหนี้สินไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 160.72 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้าและหนี้สินอื่นๆ เพิ่มขึ้นสุทธิ 79.04 ล้านบาท
