xs
xsm
sm
md
lg

คดีแม้วทอนความเชื่อมั่น ตลท.-ฝรั่งจ่อทิ้งหุ้นอีก 2 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บล.บัวหลวง ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 1 ถอยรูด คาดต่างชาติยังขายทิ้งต่อเนื่องไปจนถึงมีนาคม หรืออีกประมาณ 20,000 ล้านบาท เฉลี่ยวันละ 1.2 – 1.5 พันล้าน จากความกังวลในคดียึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” แนะนักลงทุนช่วงนี้ขายหุ้น รอจังหวะทยอยเก็บหุ้น พลังงาน อาหาร ท่องเที่ยว ที่จะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลัง เต็มที่ปีนี้ Q4 ให้สูงสุด 840 จุด

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยต่อไปในเดือนนี้จนถึงมีนาคมอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยการเมือง ซึ่งขณะนี้มีกระแสข่าวต่างๆออกมาก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงการแก้ปัญหาโครงการต่างที่ต้องชะลองานก่อสร้างออกไปในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ยังไม่มีความชัดเจน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งจะทำให้ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเป็นไปในลักษณะการปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส1/53

“จากที่มีกระข่าวต่างๆโหมเข้ามาว่าจะมีการเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้นักลงทุนกลัวจึงมีการขายหุ้นออกไป ซึ่งเชื่อว่าเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่องไปถึงเดือนมีนาคม โดยขายเฉลี่ยต่อวัน 1.2-1.5 พันล้านบาท ซึ่งหากผลไม่รุนแรงคาดว่าจะมีการขายออกมาไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ประกอบกับมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ”นายชัยพร กล่าว

ทั้งนี้บริษัทจึงแนะนำนักลงทุนในช่วงนี้ให้มีการขายหุ้นออกไปก่อน เพื่อรอจังหวะในการเข้าไปลงทุนในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 670-680 จุด ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการซื้อขายที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี(บุ๊กแวลู)ที่ 1.1 เท่า

ดังนั้นบริษัทมองว่า แนะนำเข้าไปทยอยลงทุน คือหุ้น กลุ่มพลังงาน เนื่องจาก คาดว่าทิศทางราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าในปลายปีนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นแตะ 3 หลัก จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล จากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะประเทศจีน ขณะที่ปริมาณน้ำมันลดลง

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มน้ำมันนั้นจะมีปัจจัยเสี่ยงเป็นรายบริษัท รวมถึงนโยบายของรัฐที่จะเข้ามากระทบ จึงแนะนำนักลงทุนควรลงทุนในกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงน้ำมัน และกองทุนน้ำมันอื่นๆจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในหุ้นรายตัว ขณะที่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวก็มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว และหุ้นกลุ่มอาหาร จากราคาสินค้าเกษตรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น รวมถึงควนเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลที่สูง

นายชัยพร กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงต้นไตรมาส2/53 โดยคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 600 จุด แต่จะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส2/53เนื่องจาก เป็นช่วงที่งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนประกาศงบการเงิน1/53 น่าจะมีการออกมาดี และ มีการจ่ายเงินปันผล และจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับกรณีมาบตาพุด โดยปีนี้ดัชนีสูงสุดในช่วงไตรมาส4/53 อยู่ที่ 840 จุด จากมีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน

ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ มองว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น13.5% จึงแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน โดยลงทุนในหุ้น 21% ทองคำ 8% น้ำมัน 5% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 10% ที่เหลือลงทุนในตลาดเงิน แต่หากให้จัดอันดับความน่าสนใจในการลงทุนมองว่า การลงทุนในทองคำ น้ำมัน และหุ้นนั้น ทองคำมีความน่าสนใจลงทุนมากที่สุด รองมาคือ น้ำมัน อันดับสามคือหุ้น

โบรกฯ คาดหุ้นสัปดาห์นี้ลงถึง 680 จุด

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไตรรัตน์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มที่ต่ำกว่า 680 จุด ได้ โดยมีปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งยิ่งใกล้วันตัดสินคดียึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี นักลงทุนยิ่งเกิดความไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ตามระดับความขัดแย้งทางการเมือง นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงปัจจัยลบ ที่สหรัฐอเมริกา และ จีน ซึ่งมีการคุมเข้มเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย

ทำให้ ช่วงนี้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรก่อน นายสมชาย ส่วนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)อนุมัติวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดสรรให้ผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์ เชื่อว่า คงจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ที่ผ่านมาการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ก็ต่ำกว่าเกณฑ์มาโดยตลอด
กำลังโหลดความคิดเห็น