xs
xsm
sm
md
lg

ระบุเสื้อแดงชุมนุมจ่อฉุดหุ้นไทยล่วงต่อการเมืองกดดัชนียาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน –วงการตลาดทุนชี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นระยะสั้น หลังคลายความกังวลผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ของ ทักษิณ ชินวัตร บางส่วน แต่ยังต้องติดตามท่าทีกลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุม ด้านตลท. – ก.ล.ต.เชื่อมั่นนักลงทุนผ่อนคลาย มีข้อมูลในการวิเคราะห์ลงทุนมากขึ้น ทำให้เปิดตลาดวันนี้ผันผวนน้อย ฝั่งบลจ. ประเมินแค่คลี่คลายระดับหนึ่ง ระยะยาวยังไม่จบ ยกกรณีมาบตาพุดสำคัญ สำคัญต่อการกระแสเงินนอกประเทศที่ไหลเข้าไทย

นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันอังคาร(2มี.ค.) นี้เชื่อว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลหลังจากศาลฎีกาได้มีคำสั่งยึดทรัพย์ของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงบางส่วน46,373.68 ล้านบาท ไม่ได้ยึดทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นการประนีประนอมไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง

ทั้งนี้ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการพิจารณาคดียึดทรัพย์ เพราะ ที่ผ่านมานั้นนักลงทุนมีการรับรู้ข่าวสารไปมากพอสมควร ซึ่งผลออกมาแบบนี้นั้นไม่ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีในสัปาดห์นี้อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้นเนื่องจาก ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงกดดันอยู่คือการนัดชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่จะมีขึ้นในวันที่12-14 มีนาคมนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะต้องติดตามว่าจะเป็นอย่างไร

“จากการที่ศาลมีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ บางส่วนซึ่งถือว่าเป็นการประนีประนอมไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง ทำให้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แบบปกติ หากไม่มีข่าวร้ายเข้ามากระทบเพราะ เรื่องดังกล่าวยังไม่จบจากที่กลุ่มเสื้อแดงมีการนัดชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค. ”นางภัทธีรา กล่าว

ด้าน นาย สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า ผลการตัดสินของศาลที่ออกมานั้นถือว่าเป็นไปตามคาดของประชาชนส่วนใหญ่ ที่คาดว่าจะมีการยึดทรัพย์บางส่วน แต่จากที่ยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องการนัดชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงและยังมีความไม่ยอมรับกับคำตัดสินนั้น ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องติดตามว่าแกนนำจะมีการตัดสินใจอย่างไร ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุนจะต้องติดตาม

ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะแกว่างตัวในกรอบแคบๆ หลังจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 วัน ทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาบางส่วน เพื่อรอดูสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีความผันผวนอยู่จากประเด็นทางการเมือง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะแกว่งตัวในกรอบ700-725 จุด

นาย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย )กล่าวว่า การตัดสินของศาลฯนั้นได้มีการพิจารณาคดีนี้ด้วยความโปร่งใส ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน และตัดสินด้วยความเป็นธรรมและมีเมตตาธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ไว้หลายแง่มุม ซึ่งฝ่ายของอดีตนายกรัฐมนตรีมองว่า ศาลฯน่าจะมีการยึดทรัพย์ทั้ง 7.6 หมื่นล้านบาท เพราะศาลฯน่าจะยึดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภาครัฐเป็นหลัก แต่ศาลก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีการพิจารณาทุกประเด็นด้วยความยุติธรรม จากนี้จึงเป็นเรื่องของคนไทยที่จะพิจารณากันเองว่า จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป เคารพคำตัดสินของศาลฯที่พิจารณาอย่างเป็นธรรม หรือเลือกที่จะทำด้านตรงกันข้าม

ส่วนความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นในวันที่ 2 มี.ค. มองว่าเชื่อว่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และที่สำคัญนักลงทุนต่างชาติได้มองข้ามปัจจัยการเมืองในประเทศไปแล้ว หากดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศอยู่ในแดนบวก ก็น่าจะดึงดัชนีตลาดหุ้นไทยให้อยู่ในแดนบวกได้ด้วยเช่นกัน

นาย ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หลังจากที่ศาลมีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์บางส่วน ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดแล้วที่ผลออกมาเป็นตรงกลาง โดยถือว่าสถานการณ์ทางการเมืองนั้นได้ผ่านจุดกังวลมากที่สุดไปแล้วในช่วงสั้นนี้ แต่สถานการณ์ทางการเมืองนั้นจะสงบหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งจะต้องติดตามการนัดนัดชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ต่อไป

โดยส่วนตัวเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อยู่ที่ 740-750 จุด ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจในการลงทุนนั้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงานที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่น เช่นTOP PTTAR จากที่มีส่วนต่างในการผลิตสินค้าที่สูง

กลต.-ตลท.เชื่อมั่นตลาดหุ้นไม่ผันผวน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลทำให้มีความชัดเจนในสายตาของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนจะสามารถตัดสินใจลงทุนด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น

นาง ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า หลังผลการตัดสินคดียึดทรัพย์ จำนวน 46,373.68 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว คาดว่า สถานการณ์ทางการเมืองน่าจะผ่อนคลายไปในทางที่ดีขึ้นได้บ้าง เพราะเชื่อว่าศาลฯได้พิจารณาตัดสินคดีอย่างละเอียดรอบคอบและรอบด้านแล้ว ซึ่งทุกคนก็ควรน้อมรับคำตัดสิน นอกจากนี้ มองว่าในช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันถึง 3 วัน จะทำให้นักลงทุนมีเวลาในการพิจารณาและวิเคราะห์ ข้อมูลน่าจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ที่จะเปิดในวันที่ 2 มี.ค.ที่จะถึงนี้ไม่ผันผวนมากนัก

หม่อมหลวง ทองมกุฏ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การพิจารณาคดีของศาลนั้นออกมาอย่างยุติธรรม แต่ก็คงไม่ได้ทำให้สถานการณ์การเมืองในประเทศปรับตัวดีขึ้นได้จากที่ยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่จะมีการนัดชุมนุมในกลางเดือนนี้ แต่ในระยะสั้นนี้เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้

บิ้กเอ็มเอฟซีมองการเมืองยังไม่จบ

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความชัดเจนของการตัดสินยึดทรัพย์ จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ระดับหนึ่ง แต่ในระยะยาวแล้ว ประเด็นที่เกี่ยวข้องหลายเรื่องยังไม่จบ เพราะยังมีการพูดถึงการออกมาประท้วงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในส่วนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอง มองว่ามีการรับข่าวดังกล่าวไปมากพอสมควรแล้ว เพราะจริงๆ เรื่องนี้คนส่วนใหญ่ก็พยายามให้อยู่กันได้ทั้งสองฝ่าย ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเอง เชื่อว่าความกังวลก็ลดลงไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในประเทศเรา ดังนั้น ความชัดเจนดังกล่าว น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะกลางได้

“นักลงทุนเองมั่นใจมากขึ้นว่าการเมืองที่มีความไม่แน่นอน ได้ผ่อนคลายไปเปราะหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะยังคงอยู่กับนักลงทุนในบ้านเราอีกต่อไป ซึ่งก็เชื่อว่านักลงทุนเอง ก็มองสถานการณ์ไว้แบบนี้อยู่แล้ว และก็ต้องลงทุนไปตามสภาวะแบบนี้เช่นกัน”นายพิชิตกล่าว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนหลังจากนี้ มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เช่น กรณีของมาบตาพุด ซึ่งถ้าหากเราทำได้ไม่ดี ความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงเศรษฐกิจของบประเทศ ก็จะลดลงเรื่อยๆ
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ มองว่าเรื่องของฟันด์โฟล์มีอิทธิผลต่อตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว แต่มองว่ากระแสเงินลงทุนในปัจจุบันไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียอยู่แล้ว ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของเราเท่านั้น ว่าจะดึงดูเงินลงทุนเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งปัจจัยลบที่คลี่คลายไประดับหนึ่งแล้ว น่าจะเป็นไปในทางบวกมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น