สงครามราคาค่าคอมมิชชั่นเริ่มปะทุ “บล.นครหลวงไทย”ประกาศตัวลุยรายแรก ประเดิมดัมพ์ค่าคอมฯเหลือ 0% สำหรับลูกค้าที่ซื้อเกิน20ล้านบาท เริ่มทดลอง ม.ค.-มี.ค.นี้ หวังช่วยดันมาร์เกตแชร์แตะ 1.5% และเพิ่มฐานลูกค้านักลงทุนรายใหญ่ 100 บัญชี ผู้บริหารยอมรับสนใจควบรวมกิจการเพื่อความอยู่รอดในธุรกิจ พร้อมลดการพึ่งพารายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์
นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นเวลาร่วม 6 ปีแล้วตั้งแต่ที่บริษัทเปิดให้บริการแก่นักลงทุนมา โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เกตแชร์)ที่ประมาณ 1% เมื่อเทียบกับการเปิดเสรีค่าคอมมิชั่นที่จะเริ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อย
“เราประเมินตัวเองว่า บริษัทก็มีคุณภาพในเรื่องานวิจัยที่ผ่านทางสื่อต่างๆมาตลอด ดังนั้นในปีหน้าเราจึงอยากเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายใหญ่เข้ามาเพิ่มเติม ด้วยการนำเสนอบทวิจัยที่มีคุณภาพ ผนวกกับดปรโมชั่นใหม่ของบริษัท ที่จะนำมาทดลองรับในช่วงการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น”
ทั้งนี้ ปี 2553 บริษัทจะใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเติบโต โดยมีแผนงานเน้นการทำตลาด Cross-selling กับธนาคารนครหลวงไทย และเพื่อตอบสนองนโยบายของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องการเปิดเสรีค่านายหน้า ให้เกิดประโยชน์แก่นักลงทุนเพิ่มขึ้น จึงจะทดลองกลยุทธ์ด้านราคา ด้วยการทำโปรโมชั่น0% ในไตรมาส1 (ม.ค.-มี.ค.2553)ว่าจะมีผลอย่างไร
สำหรับโปรโมชั่น 0%ดังกล่าวหมายถึง ลูกค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายต่อวัน จ่ายค่านายหน้าเฉพาะ 20 ล้านบาทแรก ส่วนเกินนั้นทางบริษัทจะไม่คิดค่านายหน้าฯ แต่นักลงทุนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ล้านละ 60 บาทเท่านั้น โดยคาดว่าโปรโมชั่นนี้จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้บริษัทได้ไม่น้อยกว่า 0.5% ซึ่งจะผลักดันให้อันดับของบริษัทน่าจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 20 ต้นๆจากอันดับที่ 27 ในปัจจุบัน
“หลังจากเริ่มใช้โปรโมชั่นการคิดค่าธรรมเนียม 0% กับลูกค้าที่มีปริมาณการซื้อขาย 20 ล้านบาทต่อวัน คาดว่าจะส่งผลให้มาร์เกตแชร์ของเราในช่วงที่ใช้โปรโมชั่นดังกล่าวมีเกินกว่า 1.5% หรือเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 1% โดยคาดว่ามาร์เก็ตแชร์เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 1.5%พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่ที่มีปริมาณการซื้อขาย 5 ล้านบาทต่อวันขึ้นไปอีก 100 บัญชี และจะมีรายได้อยู่ที่ 57 ล้านบาทต่อเดือน”
ปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนบัญชีลูกค้า ประมาณ 10,000 บัญชี โดยมีสัดส่วนบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอมีสัดส่วน 1 ใน 4 ของยอดบัญชีทั้งหมด และมีจำนวนสาขา 23 สาขา ขณะที่สัดส่วนรายได้ปี 2553จะประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 80% พอร์ตลงทุน 15% และธุรกิจวาณิชธนกิจ 5% และจะปรับตัวลดรายได้จากธุรกิจหลักลงอีกโดยตั้งเป้าในปี 2555 จะเหลือประมาณ 60% พอร์ตลงทุน 30% และวาณิชธนกิจ 10% โดยในปีหน้าบริษัทมีการด้านวาณิชธนกิจ ทั้ง 8 ดีล ซึ่งมีทั้งดีลM&A และ ไอพีโอที่ต้องรอดูภาวะตลาดหุ้นก่อนนำเข้าซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์
นายวิบูลย์ กล่าวว่า แม้การออกโปรโมชั่นจะทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรง แต่บริษัทยังเชื่อว่าปีหน้าจะมีกำไรต่อเนื่องจากปีนี้ ที่คาดว่าจะมีกำไร ขณะที่การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 55 จะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กประสบปัญหา เนื่องจากการแข่งขันในสถานการณ์ที่เปิดเสรีจำเป็นต้องมีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 2.5% จึงจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ดังนั้นบริษัทจึงอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์รายอื่นที่มีจุดแข็งด้านลูกค้ารายใหญ่ หรือมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านตราสารอนุพันธ์(Delivertive)เพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาได้มีการติดต่อกันบ้าง แต่ยังไม่มีการเจรจาอย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน ยืนยันธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)ยังให้การสนับสนุนทางธุรกิจกับบริษัท โดยทำตลาดร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และชักชวนลูกค้าของธนาคารเข้ามาซื้อขายหุ้นผ่าน บล.นครหลวงไทย ส่วนการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน อยู่ระหว่างการขายหุ้น SCIB จะมีผลต่อบริษัทหรือไม่นั้นเรื่องดังกล่าว คงจะต้องขึ้นกับนโยบายของผู้ถือหุ้นใหม่
**เชื่อวงการโบรกฯเกิดการเปลี่ยนแปลง
แหล่งข่าววงการหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตามที่บล.นครหลวงไทย ประกาศใช้คิดค่าคอมมิชชั่น 0% สำหรับมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทต่อวันในช่วง 3เดือนแรกปีหน้า มองว่าวงการโบรกเกอร์จะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังจากในปี2553 จะเริ่มมีการใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได ซึ่งหากมีบล.ใดใช้อัตราการคอมมิชชั่นที่ 0% จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง หรือ เกิดสงครามราคา
อย่างไรก็ตาม มองว่าการแข่งขันเรื่องราคา ไม่ได้สะท้อนการบริการที่แท้จริง และทำให้การให้บริการก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นเวลาร่วม 6 ปีแล้วตั้งแต่ที่บริษัทเปิดให้บริการแก่นักลงทุนมา โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เกตแชร์)ที่ประมาณ 1% เมื่อเทียบกับการเปิดเสรีค่าคอมมิชั่นที่จะเริ่มขึ้นในปีหน้า เนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้ารายย่อย
“เราประเมินตัวเองว่า บริษัทก็มีคุณภาพในเรื่องานวิจัยที่ผ่านทางสื่อต่างๆมาตลอด ดังนั้นในปีหน้าเราจึงอยากเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายใหญ่เข้ามาเพิ่มเติม ด้วยการนำเสนอบทวิจัยที่มีคุณภาพ ผนวกกับดปรโมชั่นใหม่ของบริษัท ที่จะนำมาทดลองรับในช่วงการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น”
ทั้งนี้ ปี 2553 บริษัทจะใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเติบโต โดยมีแผนงานเน้นการทำตลาด Cross-selling กับธนาคารนครหลวงไทย และเพื่อตอบสนองนโยบายของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องการเปิดเสรีค่านายหน้า ให้เกิดประโยชน์แก่นักลงทุนเพิ่มขึ้น จึงจะทดลองกลยุทธ์ด้านราคา ด้วยการทำโปรโมชั่น0% ในไตรมาส1 (ม.ค.-มี.ค.2553)ว่าจะมีผลอย่างไร
สำหรับโปรโมชั่น 0%ดังกล่าวหมายถึง ลูกค้าที่มีมูลค่าการซื้อขายต่อวัน จ่ายค่านายหน้าเฉพาะ 20 ล้านบาทแรก ส่วนเกินนั้นทางบริษัทจะไม่คิดค่านายหน้าฯ แต่นักลงทุนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ล้านละ 60 บาทเท่านั้น โดยคาดว่าโปรโมชั่นนี้จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้บริษัทได้ไม่น้อยกว่า 0.5% ซึ่งจะผลักดันให้อันดับของบริษัทน่าจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 20 ต้นๆจากอันดับที่ 27 ในปัจจุบัน
“หลังจากเริ่มใช้โปรโมชั่นการคิดค่าธรรมเนียม 0% กับลูกค้าที่มีปริมาณการซื้อขาย 20 ล้านบาทต่อวัน คาดว่าจะส่งผลให้มาร์เกตแชร์ของเราในช่วงที่ใช้โปรโมชั่นดังกล่าวมีเกินกว่า 1.5% หรือเพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่มีมาร์เก็ตแชร์ 1% โดยคาดว่ามาร์เก็ตแชร์เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 1.5%พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่ที่มีปริมาณการซื้อขาย 5 ล้านบาทต่อวันขึ้นไปอีก 100 บัญชี และจะมีรายได้อยู่ที่ 57 ล้านบาทต่อเดือน”
ปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนบัญชีลูกค้า ประมาณ 10,000 บัญชี โดยมีสัดส่วนบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอมีสัดส่วน 1 ใน 4 ของยอดบัญชีทั้งหมด และมีจำนวนสาขา 23 สาขา ขณะที่สัดส่วนรายได้ปี 2553จะประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ 80% พอร์ตลงทุน 15% และธุรกิจวาณิชธนกิจ 5% และจะปรับตัวลดรายได้จากธุรกิจหลักลงอีกโดยตั้งเป้าในปี 2555 จะเหลือประมาณ 60% พอร์ตลงทุน 30% และวาณิชธนกิจ 10% โดยในปีหน้าบริษัทมีการด้านวาณิชธนกิจ ทั้ง 8 ดีล ซึ่งมีทั้งดีลM&A และ ไอพีโอที่ต้องรอดูภาวะตลาดหุ้นก่อนนำเข้าซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์
นายวิบูลย์ กล่าวว่า แม้การออกโปรโมชั่นจะทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรง แต่บริษัทยังเชื่อว่าปีหน้าจะมีกำไรต่อเนื่องจากปีนี้ ที่คาดว่าจะมีกำไร ขณะที่การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 55 จะทำให้บริษัทหลักทรัพย์ขนาดเล็กประสบปัญหา เนื่องจากการแข่งขันในสถานการณ์ที่เปิดเสรีจำเป็นต้องมีส่วนแบ่งการตลาดไม่น้อยกว่า 2.5% จึงจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ดังนั้นบริษัทจึงอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์รายอื่นที่มีจุดแข็งด้านลูกค้ารายใหญ่ หรือมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านตราสารอนุพันธ์(Delivertive)เพื่อให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาได้มีการติดต่อกันบ้าง แต่ยังไม่มีการเจรจาอย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน ยืนยันธนาคารนครหลวงไทย(SCIB)ยังให้การสนับสนุนทางธุรกิจกับบริษัท โดยทำตลาดร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการ และชักชวนลูกค้าของธนาคารเข้ามาซื้อขายหุ้นผ่าน บล.นครหลวงไทย ส่วนการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน อยู่ระหว่างการขายหุ้น SCIB จะมีผลต่อบริษัทหรือไม่นั้นเรื่องดังกล่าว คงจะต้องขึ้นกับนโยบายของผู้ถือหุ้นใหม่
**เชื่อวงการโบรกฯเกิดการเปลี่ยนแปลง
แหล่งข่าววงการหลักทรัพย์ กล่าวว่า ตามที่บล.นครหลวงไทย ประกาศใช้คิดค่าคอมมิชชั่น 0% สำหรับมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทต่อวันในช่วง 3เดือนแรกปีหน้า มองว่าวงการโบรกเกอร์จะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หลังจากในปี2553 จะเริ่มมีการใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได ซึ่งหากมีบล.ใดใช้อัตราการคอมมิชชั่นที่ 0% จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง หรือ เกิดสงครามราคา
อย่างไรก็ตาม มองว่าการแข่งขันเรื่องราคา ไม่ได้สะท้อนการบริการที่แท้จริง และทำให้การให้บริการก็จะไม่ดีเท่าที่ควร