บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ฮุบ “เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์” บอร์ดลงมติรับโอนกิจการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มูลค่า 106ล้าน แลกด้วยหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 30 ล้านหุ้น หรือให้ถือหุ้นบริษัท8.5% พร้อมเก้าอี้บอร์ด 2ตัว เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นมกราคมนี้ คาดดำเนินการแล้วเสร็จก.พ. ดันมาร์เกตแชร์โต2.9% โบรกฯเชื่อมีซื้อกิจการบล.อื่นต่อ
นายวิคเตอร์ ยูน ตั๊ค ชอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2552 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้ารับโอนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage Business) จาก บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมถึงสิทธิประโยชน์และผลประโยชน์ที่จะได้มา จะจ้างหรือจะทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการเป็นการเฉพาะของเจ้าหน้าที่การตลาด และทรัพย์สินใดๆ และสิทธิการเช่าที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยไม่รวมถึงใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทรัพย์สินในรูปของเงินสด (Monetary Assets) ลูกหนี้การค้า (Account Receivables)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการชำระค่าตอบแทนที่เมอร์ชั่นได้โอนธุรกิจให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะออกและจัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่เมอร์ชั่น ไม่เกิน 8.5% ภายหลังการเพิ่มทุนซึ่งคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 30,192,000 หุ้น ตามราคาปิดของหุ้นบริษัทที่ซื้อขายบนกระดานหลัก (Main Board) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันทำการซื้อขายก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัท(16ธ.ค.) ซึ่งเท่ากับ 3.54 บาท ต่อหุ้น และการรับโอนธุรกิจดังกล่าวมีมูลค่าไม่เกิน 106,879,680 บาท
ขณะเดียวกัน ได้อนุมัติให้จัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 30,192,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือ8.5% ของหุ้นทั้งหมด ให้แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง คือ เมอร์ชั่น ที่ได้โอนธุรกิจที่มีมูลค่ารวม106,879,680 บาท
นอกจากนี้ยังได้อนุมัติให้แต่งตั้ง นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ และ นายถนอมพงษ์ ปฐมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งสมาชิกของคณะกรรมการของบริษัท โดยที่อำนาจในการลงนามเป็นดังเดิม และจะแต่งตั้ง นายเกษมสิทธิ์ หรือ นายถนอมพงษ์ หรือ นางสาวชัญญา รัตนประภากุล สองในสามรายนี้ ดำรงตำแหน่งสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท ตามที่ได้รับการเสนอชื่อ
โดยกำหนดวันที่ที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนเพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 เป็นวันที่ 4 มกราคม 2553และวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 5 มกราคม พร้อมกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 วันที่ 22 มกราคม 2553 เวลา 10.00 น. ณ. ห้องประชุม อาคารสินธรทาวเวอร์ 1 ชั้น 2
ควบรวมกิจการแล้วเสร็จก.พ.
นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม กรรมการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่ากระบวนการรับโอนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จากบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า ทั้งนี้ ภายหลังจากโอนธุรกิจเสร็จ คาดว่าจะบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1.99% ส่วนทาง เมอร์ชั่นฯ มีประมาณ 0.82% รวมกันแล้ว 2.8-2.9%
"ดีลการซื้อกิจการในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโมเดลของทางผู้ถือหุ้นจากสิงคโปร์วางไว้ นั่นคือการที่เราเปิดให้ทางเมอร์ชั่นฯเข้ามาถือหุ้นด้วย และให้เข้ามาเป็นกรรมการของบริษัทฯด้วย”
โบรกฯเชื่อมมั่นแชร์เพิ่มเป็น2 .9%
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ ให้ความเห็นถึงกรณี บล.ยูโอบี เคย์เฮียนได้ซื้อธุรกิจหลักทรัพย์จาก บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ว่า UOBKH จะใช้เม็ดเงินในการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์ครั้ง นี้ประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินโดยไม่ได้นับรวมในส่วนของ Back office และภายหลังการโอนธุรกิจหลักทรัพย์ครั้งนี้แล้ว เรามองว่า จะทำให้ UOBKH สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจหลักทรัพย์มากขึ้น และเชื่อว่า UOBKH คงจะยังดำเนินการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์จากโบรกฯอื่นต่อไป เพื่อให้ฐานการทำธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
นายวิคเตอร์ ยูน ตั๊ค ชอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2552 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้ารับโอนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage Business) จาก บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมถึงสิทธิประโยชน์และผลประโยชน์ที่จะได้มา จะจ้างหรือจะทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการเป็นการเฉพาะของเจ้าหน้าที่การตลาด และทรัพย์สินใดๆ และสิทธิการเช่าที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยไม่รวมถึงใบอนุญาตประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทรัพย์สินในรูปของเงินสด (Monetary Assets) ลูกหนี้การค้า (Account Receivables)
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการชำระค่าตอบแทนที่เมอร์ชั่นได้โอนธุรกิจให้แก่บริษัท โดยบริษัทจะออกและจัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่เมอร์ชั่น ไม่เกิน 8.5% ภายหลังการเพิ่มทุนซึ่งคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 30,192,000 หุ้น ตามราคาปิดของหุ้นบริษัทที่ซื้อขายบนกระดานหลัก (Main Board) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันทำการซื้อขายก่อนวันประชุมคณะกรรมการบริษัท(16ธ.ค.) ซึ่งเท่ากับ 3.54 บาท ต่อหุ้น และการรับโอนธุรกิจดังกล่าวมีมูลค่าไม่เกิน 106,879,680 บาท
ขณะเดียวกัน ได้อนุมัติให้จัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 30,192,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หรือ8.5% ของหุ้นทั้งหมด ให้แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง คือ เมอร์ชั่น ที่ได้โอนธุรกิจที่มีมูลค่ารวม106,879,680 บาท
นอกจากนี้ยังได้อนุมัติให้แต่งตั้ง นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ และ นายถนอมพงษ์ ปฐมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งสมาชิกของคณะกรรมการของบริษัท โดยที่อำนาจในการลงนามเป็นดังเดิม และจะแต่งตั้ง นายเกษมสิทธิ์ หรือ นายถนอมพงษ์ หรือ นางสาวชัญญา รัตนประภากุล สองในสามรายนี้ ดำรงตำแหน่งสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท ตามที่ได้รับการเสนอชื่อ
โดยกำหนดวันที่ที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิเข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนเพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 เป็นวันที่ 4 มกราคม 2553และวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 5 มกราคม พร้อมกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 วันที่ 22 มกราคม 2553 เวลา 10.00 น. ณ. ห้องประชุม อาคารสินธรทาวเวอร์ 1 ชั้น 2
ควบรวมกิจการแล้วเสร็จก.พ.
นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม กรรมการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่ากระบวนการรับโอนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ จากบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ คาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า ทั้งนี้ ภายหลังจากโอนธุรกิจเสร็จ คาดว่าจะบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1.99% ส่วนทาง เมอร์ชั่นฯ มีประมาณ 0.82% รวมกันแล้ว 2.8-2.9%
"ดีลการซื้อกิจการในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโมเดลของทางผู้ถือหุ้นจากสิงคโปร์วางไว้ นั่นคือการที่เราเปิดให้ทางเมอร์ชั่นฯเข้ามาถือหุ้นด้วย และให้เข้ามาเป็นกรรมการของบริษัทฯด้วย”
โบรกฯเชื่อมมั่นแชร์เพิ่มเป็น2 .9%
แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ ให้ความเห็นถึงกรณี บล.ยูโอบี เคย์เฮียนได้ซื้อธุรกิจหลักทรัพย์จาก บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ว่า UOBKH จะใช้เม็ดเงินในการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์ครั้ง นี้ประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินโดยไม่ได้นับรวมในส่วนของ Back office และภายหลังการโอนธุรกิจหลักทรัพย์ครั้งนี้แล้ว เรามองว่า จะทำให้ UOBKH สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจหลักทรัพย์มากขึ้น และเชื่อว่า UOBKH คงจะยังดำเนินการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์จากโบรกฯอื่นต่อไป เพื่อให้ฐานการทำธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
