บล.เอเซีย พลัส ชี้มาบตาพุด ฉุดเศรษฐกิจไทยโตช้า 10 ปี เหตุ นักลงทุนต่างชาติ-ไทยหันลงทุนประเทศอื่นแทน หลีกหนีความเสี่ยงในการเข้ามาลงทุน พร้อมกดดันการปรับตัวเพิ่มขึ้นดัชนีตลาดหุ้นปี 53 จากโครงการที่ถูกระงับล้วนเป็นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ฉุดจีดีพีโตต่ำกว่าเพื่อนบ้านแค่3% “ก้องเกียรติ” แจง ตลาดหุ้นไทยปีหน้าผันผวนสูงจากปัจจัยในประเทศ-ต่างประเทศ ส่งผลวอลุ่มเทรดหุ้นต่ำกว่าปีนี้ 18,000 ล้านบาท แต่วอลุ่มตลาดอนุพันธ์พุ่งกระฉูด!
นาย ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการระงับการลงทุนในโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยระยาวเป็น 10 ปี เนื่องจาก การลงทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนหลายปี อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณออกไปว่าการลงทุนในประเทศไทยมีความเสี่ยง โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติให้มีการลงทุนไปแล้วก็สามารถที่จะถูกระงับการลงทุนได้ รวมถึงการปิดสนามบิน
ทั้งนี้จึงทำให้ผู้ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนจะหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน เพราะ ประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้มีการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปลงทุนมากขึ้น ดังนั้นหากเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการแก้ไข จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยถดถอยลง โดยเฉพาะในการดึงดูดความสนใจในการลงทุนลดลงไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยจะโตได้เพียง 3% ต่อปี ขณะที่ประเทศอื่นโต 5%ต่อปี
“กรณีมาบตาพุดนั้นมีผลกระทบรุนแรงมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่ใช่ปีเดียว แต่ผมมองว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจเป็น 10 ปี อย่างน้อย จากการลงทุนในพื้นที่นั้นให้ผลอตอบแทนตต่อเนื่องหลายปี ซึ่งจะต้องมีความประณีประนอมกัน ฝ่ายการลงทุนจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ฝ่ายสิ่งแวดล้อมต้องคำนึงถึงการลงทุนที่จะส่งผลต่อประเทศ เพราะการที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ต้องมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเพื่อให้เกิดการจ้าง โดยถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์หนักของประเทศในการแก้ไขต่อไป”นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ขณะนี้ได้สะท้อนไปที่ราคาหุ้นพอสมควรแล้วแต่ยังเป็นประเด็นที่กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า เพราะโครงการที่ถูกระงับการลงทุนนั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นไทย เช่น บมจ. ปตท. หรือ PTT บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC โดยมีน้ำหนักต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก และยังส่งผลทางอ้อมทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่มีการปล่อยสินเชื่อในการลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยพอสมควร
นาย ก้องเกียรติ กล่าวว่า แม้ภาพตลาดหุ้นทั่วโลกยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ นั้นส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นตามได้ แต่หากตลาดหุ้นโลกมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงรุนแรงมากกว่าเป็นทวีคูณจากที่มีปัจจัยลบในประเทศกดดัน ยังส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนไทยขนาดใหญ่ ไปลงทุนในการซื้อกิจการต่างประเทศมากขึ้น ส่วนนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีเงินลงทุนสูง และสามารถรับความเสี่ยงได้ก็จะหนีไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยนักลงทุนที่จะลำบากคือนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะต่ำกว่าปีนี้ ที่มี 18,000 ล้านบาท เพราะ ปกติหุ้นปรับตัวดีแต่อีก 1 ปีหน้า และปีต่อไปจะไม่ดีขึ้น แต่มูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ จะปรับตัวดีขึ้น เพราะ นักลงทุนจะหันไปลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน จากที่ตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีความผันผวนสูง จากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า จากปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียนในบางธุรกิจออกมาไม่ดี แต่บางธุรกิจก็จะออกมาดี
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าไม่สามารถตอบได้ แต่จะมีความผันผวนที่สูง โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยราคาน้ำมัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดฟองสบู่แตกอีกหรือไม่ โดยตลาดหุ้นไทยถือว่าไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกันประเทศเวียดนาม จีน ทำให้ต้องปรับขึ้นลงตามตลาดหุ้นอื่น ”นายก้องเกียรติกล่าว
นาย ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการระงับการลงทุนในโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยระยาวเป็น 10 ปี เนื่องจาก การลงทุนดังกล่าวให้ผลตอบแทนหลายปี อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณออกไปว่าการลงทุนในประเทศไทยมีความเสี่ยง โดยโครงการที่ได้รับอนุมัติให้มีการลงทุนไปแล้วก็สามารถที่จะถูกระงับการลงทุนได้ รวมถึงการปิดสนามบิน
ทั้งนี้จึงทำให้ผู้ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนจะหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทน เพราะ ประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้มีการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปลงทุนมากขึ้น ดังนั้นหากเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการแก้ไข จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยถดถอยลง โดยเฉพาะในการดึงดูดความสนใจในการลงทุนลดลงไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจส่งผลให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยจะโตได้เพียง 3% ต่อปี ขณะที่ประเทศอื่นโต 5%ต่อปี
“กรณีมาบตาพุดนั้นมีผลกระทบรุนแรงมาก ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่ใช่ปีเดียว แต่ผมมองว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจเป็น 10 ปี อย่างน้อย จากการลงทุนในพื้นที่นั้นให้ผลอตอบแทนตต่อเนื่องหลายปี ซึ่งจะต้องมีความประณีประนอมกัน ฝ่ายการลงทุนจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ฝ่ายสิ่งแวดล้อมต้องคำนึงถึงการลงทุนที่จะส่งผลต่อประเทศ เพราะการที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้ต้องมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเพื่อให้เกิดการจ้าง โดยถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์หนักของประเทศในการแก้ไขต่อไป”นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ขณะนี้ได้สะท้อนไปที่ราคาหุ้นพอสมควรแล้วแต่ยังเป็นประเด็นที่กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า เพราะโครงการที่ถูกระงับการลงทุนนั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นไทย เช่น บมจ. ปตท. หรือ PTT บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC โดยมีน้ำหนักต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก และยังส่งผลทางอ้อมทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่มีการปล่อยสินเชื่อในการลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยพอสมควร
นาย ก้องเกียรติ กล่าวว่า แม้ภาพตลาดหุ้นทั่วโลกยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ นั้นส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นตามได้ แต่หากตลาดหุ้นโลกมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงรุนแรงมากกว่าเป็นทวีคูณจากที่มีปัจจัยลบในประเทศกดดัน ยังส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนไทยขนาดใหญ่ ไปลงทุนในการซื้อกิจการต่างประเทศมากขึ้น ส่วนนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีเงินลงทุนสูง และสามารถรับความเสี่ยงได้ก็จะหนีไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยนักลงทุนที่จะลำบากคือนักลงทุนรายย่อย
ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะต่ำกว่าปีนี้ ที่มี 18,000 ล้านบาท เพราะ ปกติหุ้นปรับตัวดีแต่อีก 1 ปีหน้า และปีต่อไปจะไม่ดีขึ้น แต่มูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ จะปรับตัวดีขึ้น เพราะ นักลงทุนจะหันไปลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน จากที่ตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะมีความผันผวนสูง จากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า จากปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการของ บริษัทจดทะเบียนในบางธุรกิจออกมาไม่ดี แต่บางธุรกิจก็จะออกมาดี
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้าไม่สามารถตอบได้ แต่จะมีความผันผวนที่สูง โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยราคาน้ำมัน เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดฟองสบู่แตกอีกหรือไม่ โดยตลาดหุ้นไทยถือว่าไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เหมือนกันประเทศเวียดนาม จีน ทำให้ต้องปรับขึ้นลงตามตลาดหุ้นอื่น ”นายก้องเกียรติกล่าว