ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้บริหารบล.อัดยับ ค่าคอมมิชชั่นหุ้น 0% ไม่ช่วยในการพัฒนาตลาดทุนไทย อีกทั้งยิ่งซ้ำเติมบล.ไซส์เล็กที่มาร์เกตแชร์ไม่ถึง1% ต้องขาดทุน ปิดสาขา หรือต้องควบรวมเพื่อความอยู่รอด ท้ายที่สุดจะเหลือรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย บล.บัวหลวง ลั่นพร้อมสู้0% หากต้องรักษาฐานลูกค้า ส่วนสมาคมบล.ระบุหลังเทศกาลปีใหม่เตรียมเรียกสมาชิกหาข้อยุติ พร้อมพิจารณาผู้แหกคอก พร้อมชี้วิกฤตเสรีค่าคอมฯปี43 ที่เจ๊ง ก็เพราะสงครามค่าคอมฯ จนไม่เกิดการพัฒนาสินใหม่ และบุคลากร
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ CGS เปิดเผยว่า จากการที่บล.นครหลวงไทยมีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ในส่วนมูลค่าการซื้อขายที่เกิน 20ล้านบาทที่อัตรา 0% ระยะเวลา 3 เดือนนั้น บล.คันทรี่ ก็จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0%ระยเวลา 3 เดือน เช่นกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าของบริษัทไว้ ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากลูกค้าที่จะลดลง
โดยส่วนตัวเชื่อว่าโบรกเกอร์รายอื่นๆก็จะมีการคิดอัตราดังกล่าวเช่นกัน และจะส่งผลให้โบรกเกอร์รายเล็กที่มีมาร์เกตแชร์ไม่ถึง 2% จะมีการขาดทุนจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการปิดสาขาไปหรือมีการควบรวมกิจการ อีกทั้งอาจทำให้ปีหน้ามีบล.เหลืออยู่ประมาณ20 บริษัท
“เมื่อคิดค่าคอมมิชชั่นที่0% จะส่งกระทบให้บล.มีผลขาดทุนจำนวนมาก ถึงขึ้นต้องควบรวมกิจการหรือปิดกิจการลงทุนในสำหรับโบรกเกอร์รายเล็กที่มีมาร์เกตแชร์ไม่ถึง 2% แต่โบรกเอร์ที่ติดท๊อปเท็นนั้นก็จะสามารถอยู่ได้แต่จะมีกำไรที่ลดลงเช่นกัน โดยท้ายที่สุดแล้วเมื่อมีการตัดราคาจะเหลือแต่โบรกเกอร์รายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นดังนั้นบล.ต่างๆอาจจะมานั่งคุยกันในเรื่องการคิดค่าคอมมิชชั่นก็ได้และคงไม่แข่งเหลือที่0% แต่ขณะนี้กระแสมาซึ่งจะทำให้ทุกคนมีการคิดที่0%ก่อนเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเองไว้”นายประสิทธิ กล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันหากบริษัทมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0%ที่มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทนั้น บริษัทยังสามารถมีกำไรอยู่ และคาดว่าจะมีกำไรมากกว่าปี 2552แน่นอน จากการที่บริษัทมีฐานนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด ซึ่งปีหน้าจะเพิ่มเป็น 1 แสนบัญชีจากปัจจจุบันที่มี 30,000 บัญชี รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่การตลาดมากที่สุดซึ่งปี 2553จะมีมาร์เกตติ้งเพิ่มเป็นกว่า 640 คน จากปัจจุบันที่มี 600 คน
โดยจะมีทีมเจ้าหน้าที่การตลาดเข้ามาเพิ่มในไตรมาส1/53 อีก 40 คน ซึ่งทีมของ นางพรรณี เถกิงเกียรติ ทำให้เพิ่มาร์เกตแชร์เพิ่มอีก 1% และมีสาขามากที่สุดโดยจะมีสาขาเพิ่มเป็น 100 สาขา จากการเปิดสาขาไซเบอร์บลานซ์อีก 50 สาขาในปี 2553 ทำให้มาร์เกตแชร์ของบริษัทจะไม่ต่ำกว่า 10% ติด 1ใน2 ของโบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์สูงสุด
นอกจากนี้ แม้บริษัทมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่0% แต่ก็จะไม่มีการลดคุณภาพในการจัดทำบทวิเคราะห์ และบริษัทยังมีการให้บริการที่ดีแก่นักลงทุนด้วยการลงทุนระบบเทคโนโลยีด้านการซื้อขาย ด้วยข้อมูลปัจจัยพื้นฐานและเทคนิเคิลแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้บริษัทรักษาฐานลูกค้ารายเดิมไว้ได้ และยังสามารถเพิ่มฐานนักลงทุนรายใหม่ให้ใช้บริการกับบริษัทต่อไป แม้จะหมดโปรโมชั่นค่าคอมมิชชั่น 0% แล้วก็ตาม ขณะที่ฐานนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทปัจจุบัน ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทต่อวันมีสัดส่วน 10-15% ของรายได้รวมเท่านั้น
อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีการหารายได้อื่นๆเข้ามาเสริมเพื่อชดเชยกับรายได้ที่ดลลงไป คือ รายได้จากการซื้อขายอนุพันธ์ที่จะเพิ่มขึ้น รายได้จากพอร์ตการลงทุนซึ่งปีนี้มีผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุน100% และเชื่อว่าปีหน้าจะมีผลตอบแทนอัตราเดียวกับปีนี้ โดยจะทำให้สัดส่วนรายได้ปี 2553 เพิ่มเป็น 15% จากปีนี้ที่ 10% รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มมีการทำธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) จากที่อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตและประกอบธุรกิจกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ย้ำชัดแข่งราคามีแต่แย่-ไม่พัฒนา
ขณะเดียวกัน วานนี้มีกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ได้มีการแถลงถึงแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ในปี 2553 ประกอบด้วย นายนายมงคล กิตติภูมิวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บล.กรุงศรีอยุธยา นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส (ประเทศไทย) และนายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)และในฐานะกรรมการบริหาร สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมโบรกเกอร์ต้องการที่จะเห็นโบรกเกอร์มีการแข่งขันด้านคุณภาพการโดยให้ความสำคัญที่ลูกค้า เพราะลูกค้าที่จะเข้ามาลงทุนก็ต้องเนื่องจาก ต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่ดี ซึ่งการที่จะตอบโจทย์ของลูกค้าได้โบรกเกอร์จะต้องมีบุคลากรที่ดี มีบทวิเคราะห์ในการให้คำแนะนำการลงทุน มีเครื่องมีการลงทุนที่ครบถ้วน สินค้าใหม่เพิ่มความหลากหลาย มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักลงทุน
ทั้งนี้หากโบรกเกอร์มีการแข่งขันตัดราคาเกิดขึ้น ก็จะทำให้อตุสาหกรรมหลักทรัพย์ไม่มีการพัฒนา และทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมโดยรวมหายไป ซึ่งส่วนตัวมองว่าในช่วงแรกๆที่มีการแข่งขันราคา จะทำให้มีผลขาดทุนเกิดขึ้น สุดท้ายก็จะต้องกลับมา คำนึงถึงความต้องการของลูกค้า โดยขณะนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงที่จะไม่แข่งขันด้านราคา และโบรกเกอร์ที่เข้ามาร่วมแถลงวันนี้ก็จะไม่มีการแข่งขันเหลือ 0% จากที่ขณะนี้มีโบรกเกอร์มีโบรกเกอร์ 1-2 ราย ประกาศที่จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทที่อัตรา 0%นั้น
นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า จากที่จะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได โบรกเกอร์ไม่ควรที่แข่งขันด้านราคา เพราะ หากมีโบรกเกอร์มีการแถลงข่าวว่าจะเป็นการแข่งขันราคานั้นเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดีกับนักลงทุนโดยนักลงทุนจะนำประเด็นเรื่องราคามาเป็นอันดับแรก และยังเป็นการสร้างกระแสในเรื่องดังกล่าวทำให้โบรกเกอร์รายอื่นๆจะต้องมีการรักษาฐานลูกค้าของตนไว้ ซึ่งจะต้องมีการแข่งขันราคาเกิดขึ้น
นายจงรัก ระรวยทรง กล่าวว่า ในการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น 1 ตุลาคม 2543 นั้นมีการแข่งขันราคารุนแรงจากที่โบรกเกอร์ไม่ได้คุยกันที่จะกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่นำมาอ้างอิงในการคิดค่าคอมมิชชั่นแก่นักลงทุน จนทำให้มีการตัดราคาเหลือ 0%นั้นทำให้โบรเกอร์กว่า 40 แห่งมีผลขาดทุนจำนวนมาก และนักลงทุนขาดทุน อุตสหกรรมก็ไม่พัฒนา ทำให้เปิดเสรีได้ถึงวันที่ 1 มกราคม 2545 หลังจากนั้นกลับมากำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ
ทั้งนี้ ทางกรรมการบริหารของสมาคมจะมีการประชุมหารือในต้นเดือนมกราคม โดยหากผลกระทบของโบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมมิชชั่น0%ทำให้โบรกเกอร์รายอื่นเสียหายและกระทบอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ก็จะมีการเรียกประชุมสมาชิกเพื่อดำเนินการกับโบรกเกอร์ดังกล่าว ซึ่งหากผลกระทบรุนแรงก็จะคงให้อยู่ในสมาคมโบรกเกอร์ไม่ได้ ส่วนการที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต.ต้องการให้เราเป็นองค์กรกำกับสมาชิกันเอง(SRO)นั้นยังไม่สามารถทำได้จากไม่มีกฎหมายบังคับ โดยคาดว่าเรื่องดังกล่าวจะอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยหากกฎหมายผ่านสมาคมก็จะสามารถลงโทษสมาชิกได้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงเปิดเสรค่าคอมมิชชั่นในปี 2543 นั้นทำให้โบรกเกอร์มีการลดจำนวนบทวิเคราะห์ และจำนวนนักวิเคราะห์ลง เพื่อเป็นการลดลงต้นทุน โดยจะทำให้โบรกเกอร์มุ่งแต่เพียงแข่งขันราคาอย่างเดียว และไม่มีเวลาที่จะคิดพัฒนาสินค้าใหม่ ให้บริการที่มีคุณภาพแก่นักลงทุน ทำให้บางโบรกเกอร์เหลือนักลงวิเคราะห์เพียง 1 -2 ราย และมีการออกบทวิเคราะห์ไม่สม่ำเสมอ หรือบางแห่งไม่มีนักวิเคราะห์
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ CGS เปิดเผยว่า จากการที่บล.นครหลวงไทยมีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ในส่วนมูลค่าการซื้อขายที่เกิน 20ล้านบาทที่อัตรา 0% ระยะเวลา 3 เดือนนั้น บล.คันทรี่ ก็จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0%ระยเวลา 3 เดือน เช่นกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าของบริษัทไว้ ไม่ให้ได้รับความเสียหายจากลูกค้าที่จะลดลง
โดยส่วนตัวเชื่อว่าโบรกเกอร์รายอื่นๆก็จะมีการคิดอัตราดังกล่าวเช่นกัน และจะส่งผลให้โบรกเกอร์รายเล็กที่มีมาร์เกตแชร์ไม่ถึง 2% จะมีการขาดทุนจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการปิดสาขาไปหรือมีการควบรวมกิจการ อีกทั้งอาจทำให้ปีหน้ามีบล.เหลืออยู่ประมาณ20 บริษัท
“เมื่อคิดค่าคอมมิชชั่นที่0% จะส่งกระทบให้บล.มีผลขาดทุนจำนวนมาก ถึงขึ้นต้องควบรวมกิจการหรือปิดกิจการลงทุนในสำหรับโบรกเกอร์รายเล็กที่มีมาร์เกตแชร์ไม่ถึง 2% แต่โบรกเอร์ที่ติดท๊อปเท็นนั้นก็จะสามารถอยู่ได้แต่จะมีกำไรที่ลดลงเช่นกัน โดยท้ายที่สุดแล้วเมื่อมีการตัดราคาจะเหลือแต่โบรกเกอร์รายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้นดังนั้นบล.ต่างๆอาจจะมานั่งคุยกันในเรื่องการคิดค่าคอมมิชชั่นก็ได้และคงไม่แข่งเหลือที่0% แต่ขณะนี้กระแสมาซึ่งจะทำให้ทุกคนมีการคิดที่0%ก่อนเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเองไว้”นายประสิทธิ กล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันหากบริษัทมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0%ที่มูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทนั้น บริษัทยังสามารถมีกำไรอยู่ และคาดว่าจะมีกำไรมากกว่าปี 2552แน่นอน จากการที่บริษัทมีฐานนักลงทุนรายย่อยมากที่สุด ซึ่งปีหน้าจะเพิ่มเป็น 1 แสนบัญชีจากปัจจจุบันที่มี 30,000 บัญชี รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่การตลาดมากที่สุดซึ่งปี 2553จะมีมาร์เกตติ้งเพิ่มเป็นกว่า 640 คน จากปัจจุบันที่มี 600 คน
โดยจะมีทีมเจ้าหน้าที่การตลาดเข้ามาเพิ่มในไตรมาส1/53 อีก 40 คน ซึ่งทีมของ นางพรรณี เถกิงเกียรติ ทำให้เพิ่มาร์เกตแชร์เพิ่มอีก 1% และมีสาขามากที่สุดโดยจะมีสาขาเพิ่มเป็น 100 สาขา จากการเปิดสาขาไซเบอร์บลานซ์อีก 50 สาขาในปี 2553 ทำให้มาร์เกตแชร์ของบริษัทจะไม่ต่ำกว่า 10% ติด 1ใน2 ของโบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์สูงสุด
นอกจากนี้ แม้บริษัทมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่0% แต่ก็จะไม่มีการลดคุณภาพในการจัดทำบทวิเคราะห์ และบริษัทยังมีการให้บริการที่ดีแก่นักลงทุนด้วยการลงทุนระบบเทคโนโลยีด้านการซื้อขาย ด้วยข้อมูลปัจจัยพื้นฐานและเทคนิเคิลแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะทำให้บริษัทรักษาฐานลูกค้ารายเดิมไว้ได้ และยังสามารถเพิ่มฐานนักลงทุนรายใหม่ให้ใช้บริการกับบริษัทต่อไป แม้จะหมดโปรโมชั่นค่าคอมมิชชั่น 0% แล้วก็ตาม ขณะที่ฐานนักลงทุนรายใหญ่ของบริษัทปัจจุบัน ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทต่อวันมีสัดส่วน 10-15% ของรายได้รวมเท่านั้น
อย่างไรก็ตามบริษัทจะมีการหารายได้อื่นๆเข้ามาเสริมเพื่อชดเชยกับรายได้ที่ดลลงไป คือ รายได้จากการซื้อขายอนุพันธ์ที่จะเพิ่มขึ้น รายได้จากพอร์ตการลงทุนซึ่งปีนี้มีผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุน100% และเชื่อว่าปีหน้าจะมีผลตอบแทนอัตราเดียวกับปีนี้ โดยจะทำให้สัดส่วนรายได้ปี 2553 เพิ่มเป็น 15% จากปีนี้ที่ 10% รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มมีการทำธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) จากที่อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตและประกอบธุรกิจกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ย้ำชัดแข่งราคามีแต่แย่-ไม่พัฒนา
ขณะเดียวกัน วานนี้มีกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์(บล.)ได้มีการแถลงถึงแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ในปี 2553 ประกอบด้วย นายนายมงคล กิตติภูมิวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บล.กรุงศรีอยุธยา นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส (ประเทศไทย) และนายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)และในฐานะกรรมการบริหาร สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมโบรกเกอร์ต้องการที่จะเห็นโบรกเกอร์มีการแข่งขันด้านคุณภาพการโดยให้ความสำคัญที่ลูกค้า เพราะลูกค้าที่จะเข้ามาลงทุนก็ต้องเนื่องจาก ต้องการผลตอบแทนการลงทุนที่ดี ซึ่งการที่จะตอบโจทย์ของลูกค้าได้โบรกเกอร์จะต้องมีบุคลากรที่ดี มีบทวิเคราะห์ในการให้คำแนะนำการลงทุน มีเครื่องมีการลงทุนที่ครบถ้วน สินค้าใหม่เพิ่มความหลากหลาย มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่นักลงทุน
ทั้งนี้หากโบรกเกอร์มีการแข่งขันตัดราคาเกิดขึ้น ก็จะทำให้อตุสาหกรรมหลักทรัพย์ไม่มีการพัฒนา และทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมโดยรวมหายไป ซึ่งส่วนตัวมองว่าในช่วงแรกๆที่มีการแข่งขันราคา จะทำให้มีผลขาดทุนเกิดขึ้น สุดท้ายก็จะต้องกลับมา คำนึงถึงความต้องการของลูกค้า โดยขณะนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ยังคงที่จะไม่แข่งขันด้านราคา และโบรกเกอร์ที่เข้ามาร่วมแถลงวันนี้ก็จะไม่มีการแข่งขันเหลือ 0% จากที่ขณะนี้มีโบรกเกอร์มีโบรกเกอร์ 1-2 ราย ประกาศที่จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทที่อัตรา 0%นั้น
นางอัศวินี ไตลังคะ กรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า จากที่จะมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได โบรกเกอร์ไม่ควรที่แข่งขันด้านราคา เพราะ หากมีโบรกเกอร์มีการแถลงข่าวว่าจะเป็นการแข่งขันราคานั้นเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดีกับนักลงทุนโดยนักลงทุนจะนำประเด็นเรื่องราคามาเป็นอันดับแรก และยังเป็นการสร้างกระแสในเรื่องดังกล่าวทำให้โบรกเกอร์รายอื่นๆจะต้องมีการรักษาฐานลูกค้าของตนไว้ ซึ่งจะต้องมีการแข่งขันราคาเกิดขึ้น
นายจงรัก ระรวยทรง กล่าวว่า ในการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น 1 ตุลาคม 2543 นั้นมีการแข่งขันราคารุนแรงจากที่โบรกเกอร์ไม่ได้คุยกันที่จะกำหนดค่าคอมมิชชั่นที่นำมาอ้างอิงในการคิดค่าคอมมิชชั่นแก่นักลงทุน จนทำให้มีการตัดราคาเหลือ 0%นั้นทำให้โบรเกอร์กว่า 40 แห่งมีผลขาดทุนจำนวนมาก และนักลงทุนขาดทุน อุตสหกรรมก็ไม่พัฒนา ทำให้เปิดเสรีได้ถึงวันที่ 1 มกราคม 2545 หลังจากนั้นกลับมากำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นต่ำ
ทั้งนี้ ทางกรรมการบริหารของสมาคมจะมีการประชุมหารือในต้นเดือนมกราคม โดยหากผลกระทบของโบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมมิชชั่น0%ทำให้โบรกเกอร์รายอื่นเสียหายและกระทบอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ก็จะมีการเรียกประชุมสมาชิกเพื่อดำเนินการกับโบรกเกอร์ดังกล่าว ซึ่งหากผลกระทบรุนแรงก็จะคงให้อยู่ในสมาคมโบรกเกอร์ไม่ได้ ส่วนการที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต.ต้องการให้เราเป็นองค์กรกำกับสมาชิกันเอง(SRO)นั้นยังไม่สามารถทำได้จากไม่มีกฎหมายบังคับ โดยคาดว่าเรื่องดังกล่าวจะอยู่ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยหากกฎหมายผ่านสมาคมก็จะสามารถลงโทษสมาชิกได้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงเปิดเสรค่าคอมมิชชั่นในปี 2543 นั้นทำให้โบรกเกอร์มีการลดจำนวนบทวิเคราะห์ และจำนวนนักวิเคราะห์ลง เพื่อเป็นการลดลงต้นทุน โดยจะทำให้โบรกเกอร์มุ่งแต่เพียงแข่งขันราคาอย่างเดียว และไม่มีเวลาที่จะคิดพัฒนาสินค้าใหม่ ให้บริการที่มีคุณภาพแก่นักลงทุน ทำให้บางโบรกเกอร์เหลือนักลงวิเคราะห์เพียง 1 -2 ราย และมีการออกบทวิเคราะห์ไม่สม่ำเสมอ หรือบางแห่งไม่มีนักวิเคราะห์