รมว.คลัง แจงสถานการณ์บาทแข็ง สอดคล้องกับตลาดในภูมิภาค ยันไม่เป็นอุปสรรคต่อส่งออก เตรียมชง 5 มาตรการ 6 เดือน เข้าที่ประชุม ครม.ต่ออายุ พร้อมแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นในขณะนี้ โดยยืนยันว่าไม่ได้กระทบต่อการแข่งขันของภาคการส่งออก ซึ่งจะเห็นว่า ยอดการส่งออกได้ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจนล่าสุด เดือนตุลาคม 2552 ยอดการส่งออกติดลบน้อยที่สุดในรอบปี สะท้อนถึงความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยไม่ได้เกิดจากการแข่งขันด้านราคา หรือเป็นความได้เปรียบเสียเปรียบจากอัตราแลกเปลี่ยน แต่เป็นเรื่องของคุณภาพสินค้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้ามาดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศคู่ค้า คู่แข่ง แม้การแทรกแซงของ ธปท.จะทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นภาระต้นทุนทางเศรษฐกิจ
"ต้องดูผลทางเศรษฐกิจ เพราะแบงก์ชาติรับภาระในการแทรกแซงเงินบาท แต่ผู้ส่งออกแข่งขันได้ ก็มีผลต่อเศรษฐกิจ ประชาชนก็มีงานทำ ก็ต้องประเมินเปรียบเทียบความคุ้มค่า"
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.ภายในปีนี้ พิจารณาทบทวน 5 มาตรการ 6 เดือนเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน หลังจากจะสิ้นสุดมาตรการในเดือนธันวาคม 2552 นี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะได้เสนอรายละเอียดข้อมูลต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อมูลทางเศรษฐกิจ จากผลที่ได้จากมาตรการดังกล่าว ปัญหาค่าครองชีพประชาชน รวมถึงภาระเงินงบประมาณ เพื่อให้ ครม.ตัดสินใจ
"ผมคงบอกแทน ครม.ไม่ได้ว่าจะต่ออายุหรือไม่ แต่จะได้ให้ข้อมูลต่างๆ ให้พิจารณาทั้งหมด"
นอกจากนี้ ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะครบ 1 ปีการทำงานของรัฐบาล จะมีการประเมินผลการทำงานของรัฐบาลในรอบ 1 ปี รวมถึงเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยยอมรับว่าในแง่การดูแลเศรษฐกิจเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลเข้ามาทำงานเพื่อแก้วิกฤติเศรษฐกิจ จากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก การดำเนินนโยบายของรัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาความเป็นอยู่ประชาชน มีการกำหนดกรอบการปฎิรูปเศรษฐกิจโดยรวม ใน 3 ด้าน คือ การปฎิรูปภาคประชาชน การปฎิรูปภาคเอกชน และการปฎิรูปภาคราชการ
