สรรพสามิต เตรียมแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ หลังเปิดเสรีการค้าอาเซียน 1 ม.ค.53 ภาษีนำเข้าลดเหลือ 0% หาช่องออกมาตรการชดเชยแก้ปัญรายได้รัฐบาลลดลงในอนาคต
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลังเปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อพัฒนาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุราว่า เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้ทันสมัย และมีมาตรฐานตามหลักสากล ด้วยการศึกษาเปรียบเทียบระบบบริหารการจัดเก็บภาษีประเภทต่างๆ เพื่อนำไปสู่ระบบภาษีสรรพสามิตที่ดีที่สุด จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและเชื่อมโยงองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
โดยรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุรา ประมาณปีละ 8-9 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 30% ของภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บ เป็นอันดับ 2 รองจากภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ซึ่งกรมสรรพสามิตเองอยู่ระหว่างการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนให้ชัดเจนขึ้นรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บมากขึ้น เพื่อให้มีเม็ดเงินจากภาษีมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณพัฒนาประเทศ โดยปีงบประมาณ 2553 กรมสรรพสามิตมีเป้าหมายการจัดเก็บ 3.3 แสนล้านบาท ซึ่งรวมผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน(อาฟตา)ไว้แล้ว
“ได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอาฟตาว่า จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างไร จากการที่อัตราภาษีศุลกากรจะเหลือ 0% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันจะมีมาตรการในการดูแลผู้ประกอบการคนไทยอย่างไรบ้าง เพื่อให้การปรับปรุงระบบภาษีเอื้อต่อการทำธุรกิจมากที่สุด ซึ่งยังมีเวลาที่จะทำงาน 2 เดือนก่อนอาฟตาจะมีผลปฏิบัติ”นพ.พฤฒิชัยกล่าว
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า กรมมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้ทันสมัยและมีมาตรฐานตามหลักสากล โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการสุราไทยที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการจัดเก็บภาษีตามข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนให้เหลือ 0% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553
ทั้งนี้ กรมฯจะดำเนินการหาแนวทาง โดยการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุรา และแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากการยกเว้นภาษีนำเข้าดังกล่าวเพราะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศที่จะทำให้รายได้ลดลง ขณะเดียวกันก็ต้องหาแนวทางเพื่อให้มีความสอดคล้องจากการจัดเก็บภาษีที่ลดลงจากการยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% โดยจะไม่ให้กระทบต่อรายได้ของรัฐด้วย โดยจะเสนอให้กับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ภายในเดือนธันวาคม 2552
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลังเปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อพัฒนาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุราว่า เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้ทันสมัย และมีมาตรฐานตามหลักสากล ด้วยการศึกษาเปรียบเทียบระบบบริหารการจัดเก็บภาษีประเภทต่างๆ เพื่อนำไปสู่ระบบภาษีสรรพสามิตที่ดีที่สุด จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษีสรรพสามิตและเชื่อมโยงองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
โดยรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุรา ประมาณปีละ 8-9 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 30% ของภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บ เป็นอันดับ 2 รองจากภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ซึ่งกรมสรรพสามิตเองอยู่ระหว่างการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนให้ชัดเจนขึ้นรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บมากขึ้น เพื่อให้มีเม็ดเงินจากภาษีมาใช้ในการจัดสรรงบประมาณพัฒนาประเทศ โดยปีงบประมาณ 2553 กรมสรรพสามิตมีเป้าหมายการจัดเก็บ 3.3 แสนล้านบาท ซึ่งรวมผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน(อาฟตา)ไว้แล้ว
“ได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอาฟตาว่า จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างไร จากการที่อัตราภาษีศุลกากรจะเหลือ 0% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันจะมีมาตรการในการดูแลผู้ประกอบการคนไทยอย่างไรบ้าง เพื่อให้การปรับปรุงระบบภาษีเอื้อต่อการทำธุรกิจมากที่สุด ซึ่งยังมีเวลาที่จะทำงาน 2 เดือนก่อนอาฟตาจะมีผลปฏิบัติ”นพ.พฤฒิชัยกล่าว
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวว่า กรมมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้ทันสมัยและมีมาตรฐานตามหลักสากล โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการสุราไทยที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกการจัดเก็บภาษีตามข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนให้เหลือ 0% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553
ทั้งนี้ กรมฯจะดำเนินการหาแนวทาง โดยการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสุรา และแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากการยกเว้นภาษีนำเข้าดังกล่าวเพราะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศที่จะทำให้รายได้ลดลง ขณะเดียวกันก็ต้องหาแนวทางเพื่อให้มีความสอดคล้องจากการจัดเก็บภาษีที่ลดลงจากการยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% โดยจะไม่ให้กระทบต่อรายได้ของรัฐด้วย โดยจะเสนอให้กับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ภายในเดือนธันวาคม 2552