ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ ฟุ้งไตรมาส 3 ผลงานออกมาสวย ชี้อุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้น มั่นใจไตรมาส 4 ช่วงไฮซีซั่นผลงานขยับขึ้นต่อเนื่อง อ่อยตัวเลขกำไรครึ่งปีหลังอาจไม่สวยเหมือนครึ่งแรกเหตุต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง ส่งผลให้แผนล้างขาดทุนปีนี้พลาดเป้า เผยอยู่ระหว่างขอปรับราคาขายและบริหารสินค้าในสต๊อกหวั่นซ้ำรอยปีก่อนที่ขาดทุนสต๊อกสินค้าสูงจนทำให้ผลประกอบการขาดทุนหนัก
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K เปิดเผยว่าบริษัทประเมินผลงานไตรมาส 3 ปีนี้จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3 ปีก่อน และต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นคาดว่าผลงานน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากไตรมาส 3 ซึ่้งผลงาน 2 ไตรมาสแรกปีนี้ถือได้ว่าดีขึ้นอย่างน่าพอใจจากปี 51 เห็นได้จากผลงานที่ดีต่อเนื่องและออร์เดอร์สินค้าที่มีเข้ามาให้เห็นเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก
" แต่ผมไม่แน่ใจว่ากำไรครึ่้งหลังจะทำได้ดีต่อเนื่องจากครึ่้งปีแรกหรือไม่ เพราะต้นทุนวัตถุดิบอย่างราคาตะกั่วผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เห็นได้จากต้นปีราคาอยู่ที่ 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และขยับมาที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเมื่อกลางปี และปัจจุบันราคามาอยู่ที่ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน " นายวีรวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ดี ราคาวัตถุดิบที่ขยับเพิ่มนั้น บริษัทสามารถปรับราคาขึ้นได้ตามราคาวัตถุดิบ โดยเฉลี่ยที่ระดับ 5-15% ซึ่งเป็นการปรับราคาขายเฉพาะให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ส่วนการขายในประเทศนั้นยังถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุมอยู่ ประกอบกับระยะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทได้ยื่นขอการปรับเพิ่มราคาขายในประเทศตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นต่อกระะทรวงพาณิชย์แล้ว และอยู่ระหว่างรอผล และโดยเฉลี่ยจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้นที่ 10-15%
นายวีรวัฒน์กล่าวถึงราคาวัตถุดิบที่ผันผวนว่า หลังจากปีก่อนหน้า บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจากการสต๊อกตะกั่วอันเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการดำเนินงานอย่างสาหัสและต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ดังนั้นบริษัทหันมาบริหารต้นทุนด้วยการดูแลสินค้าคงคลังให้เกิดความคล่องตัว และสต๊อกไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องราคาวัตถุดิบและสต๊อกไม่มากเกินจำเป็นที่ต้องใช้
" ราคาตะกั่วผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เพราะตะกั่วอิงราคาตลาดโลก และเราก็พยายามบอกคู่ค้าว่าอย่าเก็งกำไรกันมาก เพราะอันตรายทั้งต่อเขาและเรา สำหรับราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ส่งผลต่อ gross profit margin ของบริษัทต่ำลงไม่ถึง 10% จากก่อนหน้าที่อยู่เหนือระดับดังกล่าว แต่ในส่วนของ net profit margin อยู่ที่ 2-3% " นายวีรวัฒน์กล่าว
นายวีรวัฒน์กล่าวว่าปีนี้ไม่ได้หวังทำยอดขายสูง แต่ห่วงสภาพคล่องมากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงหันมาเน้นการบริหารสภาพคล่องและต้องการล้างขาดทุนที่มีอยู่ให้หมดโดยเร็ว โดยครึ่งปีแรกบริษัททำกำไรได้แล้วถึง 200 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กำไรที่เกิดขึ้น ทำให้งบการเงินที่ขาดทุนอยู่ของบริษัทอยู่ที่ 471 ล้านบาทลดทอนลงจากก่อนหน้า แต่จากการประเมินผลงานที่ผ่านมาปีนี้ เชื่อว่าไม่อาจล้างขาดทุนได้หมด เพราะตัวเลขกำไรอาจไม่สอดคล้องกับครึ่งปีแรก ขณะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E/ RATIO) ปีนี้อยู่ที่ 1 กว่า ๆ ถือว่าไม่มากสำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทั่ว ๆ ไป
สำหรับปีนี้ BAT-3K ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะเน้นการบริหารงานแบบไม่ให้เกิดความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่นิ่ง ประกอบกับที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์มีการแข่งขันสูง แต่ก็เป็นสินค้าที่จำเป็นที่ใช้ควบคู่กับรถยนต์ที่ถือเป็นปัจจัยหลักของคนทั่วไป แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สำหรับการเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศ ที่ BAT-3K มีพันธมิตรคือจีนและออสเตรเลีย เพื่อร่วมกันจำหน่ายแบตเตอรี่ถือเป็นช่องทางการตลาดอีกทางหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนแต่เบื้องต้นถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว ซึ่งการเป็นดีลเลอร์คาดว่าจะเป็นรูปธรรมในปี 53
นายวีรวัฒน์กล่าวว่า หลังจากธุรกิจยานยนต์เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ส่งผลให้กำลังการผลิตที่บริษัทปรับลดลงหลังจากเกิดวิฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 51 เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลต่อผู้ผลิตแบตเตอรี่ด้วย จากเหตุดังกล่าวทำให้บริษัทลดกำลังการผลิตเพียงเดือนละ 2 แสนลูกต่อเดือนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติคือที่ระดับ 3 แสนลูกต่อเดือนแล้วเมื่อไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่กำลังการผลิตเต็มที่ของบริษัทสามารถรองรับการผลิตได้ถึง 3.5 แสนลูกต่อเดือน ส่วนสัดส่วนของการส่งออกนั้น ปัจจุบันบริษัทมีดสัดส่วนการขายระหว่างในและต่างประเทศ อย่างละ50% จากเดิมที่ส่งออกและขายในประเทศ 40% และ60 % ตามลำดับ เพราะเป้าหมายหลักคือการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศก่อน ขณะที่ตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดยังคงอยู่ที่ระดับ 30-35 % ของมูลค่าตลาดรวมในปัจจุบัน
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K เปิดเผยว่าบริษัทประเมินผลงานไตรมาส 3 ปีนี้จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3 ปีก่อน และต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นคาดว่าผลงานน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากไตรมาส 3 ซึ่้งผลงาน 2 ไตรมาสแรกปีนี้ถือได้ว่าดีขึ้นอย่างน่าพอใจจากปี 51 เห็นได้จากผลงานที่ดีต่อเนื่องและออร์เดอร์สินค้าที่มีเข้ามาให้เห็นเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก
" แต่ผมไม่แน่ใจว่ากำไรครึ่้งหลังจะทำได้ดีต่อเนื่องจากครึ่้งปีแรกหรือไม่ เพราะต้นทุนวัตถุดิบอย่างราคาตะกั่วผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เห็นได้จากต้นปีราคาอยู่ที่ 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และขยับมาที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันเมื่อกลางปี และปัจจุบันราคามาอยู่ที่ 2,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน " นายวีรวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ดี ราคาวัตถุดิบที่ขยับเพิ่มนั้น บริษัทสามารถปรับราคาขึ้นได้ตามราคาวัตถุดิบ โดยเฉลี่ยที่ระดับ 5-15% ซึ่งเป็นการปรับราคาขายเฉพาะให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ส่วนการขายในประเทศนั้นยังถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุมอยู่ ประกอบกับระยะนี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีเพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทได้ยื่นขอการปรับเพิ่มราคาขายในประเทศตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นต่อกระะทรวงพาณิชย์แล้ว และอยู่ระหว่างรอผล และโดยเฉลี่ยจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้นที่ 10-15%
นายวีรวัฒน์กล่าวถึงราคาวัตถุดิบที่ผันผวนว่า หลังจากปีก่อนหน้า บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจากการสต๊อกตะกั่วอันเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ ส่งผลให้บริษัทขาดทุนจากการดำเนินงานอย่างสาหัสและต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ดังนั้นบริษัทหันมาบริหารต้นทุนด้วยการดูแลสินค้าคงคลังให้เกิดความคล่องตัว และสต๊อกไม่เกิน 1 เดือน เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องราคาวัตถุดิบและสต๊อกไม่มากเกินจำเป็นที่ต้องใช้
" ราคาตะกั่วผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เพราะตะกั่วอิงราคาตลาดโลก และเราก็พยายามบอกคู่ค้าว่าอย่าเก็งกำไรกันมาก เพราะอันตรายทั้งต่อเขาและเรา สำหรับราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ส่งผลต่อ gross profit margin ของบริษัทต่ำลงไม่ถึง 10% จากก่อนหน้าที่อยู่เหนือระดับดังกล่าว แต่ในส่วนของ net profit margin อยู่ที่ 2-3% " นายวีรวัฒน์กล่าว
นายวีรวัฒน์กล่าวว่าปีนี้ไม่ได้หวังทำยอดขายสูง แต่ห่วงสภาพคล่องมากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงหันมาเน้นการบริหารสภาพคล่องและต้องการล้างขาดทุนที่มีอยู่ให้หมดโดยเร็ว โดยครึ่งปีแรกบริษัททำกำไรได้แล้วถึง 200 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กำไรที่เกิดขึ้น ทำให้งบการเงินที่ขาดทุนอยู่ของบริษัทอยู่ที่ 471 ล้านบาทลดทอนลงจากก่อนหน้า แต่จากการประเมินผลงานที่ผ่านมาปีนี้ เชื่อว่าไม่อาจล้างขาดทุนได้หมด เพราะตัวเลขกำไรอาจไม่สอดคล้องกับครึ่งปีแรก ขณะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E/ RATIO) ปีนี้อยู่ที่ 1 กว่า ๆ ถือว่าไม่มากสำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจทั่ว ๆ ไป
สำหรับปีนี้ BAT-3K ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะเน้นการบริหารงานแบบไม่ให้เกิดความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่นิ่ง ประกอบกับที่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์มีการแข่งขันสูง แต่ก็เป็นสินค้าที่จำเป็นที่ใช้ควบคู่กับรถยนต์ที่ถือเป็นปัจจัยหลักของคนทั่วไป แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มมีทิศทางฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สำหรับการเจาะตลาดใหม่ในต่างประเทศ ที่ BAT-3K มีพันธมิตรคือจีนและออสเตรเลีย เพื่อร่วมกันจำหน่ายแบตเตอรี่ถือเป็นช่องทางการตลาดอีกทางหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนแต่เบื้องต้นถือว่าเป็นที่น่าพอใจแล้ว ซึ่งการเป็นดีลเลอร์คาดว่าจะเป็นรูปธรรมในปี 53
นายวีรวัฒน์กล่าวว่า หลังจากธุรกิจยานยนต์เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ส่งผลให้กำลังการผลิตที่บริษัทปรับลดลงหลังจากเกิดวิฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 51 เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลต่อผู้ผลิตแบตเตอรี่ด้วย จากเหตุดังกล่าวทำให้บริษัทลดกำลังการผลิตเพียงเดือนละ 2 แสนลูกต่อเดือนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติคือที่ระดับ 3 แสนลูกต่อเดือนแล้วเมื่อไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่กำลังการผลิตเต็มที่ของบริษัทสามารถรองรับการผลิตได้ถึง 3.5 แสนลูกต่อเดือน ส่วนสัดส่วนของการส่งออกนั้น ปัจจุบันบริษัทมีดสัดส่วนการขายระหว่างในและต่างประเทศ อย่างละ50% จากเดิมที่ส่งออกและขายในประเทศ 40% และ60 % ตามลำดับ เพราะเป้าหมายหลักคือการผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศก่อน ขณะที่ตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดยังคงอยู่ที่ระดับ 30-35 % ของมูลค่าตลาดรวมในปัจจุบัน