อีก 15 วันรู้ผล “เสริมสุข” กับ “เป๊ปซี่” แตกหัก หรือลงตัว หลังที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติยอมรับแผนดำเนินธุรกิจในอนาคตคตของบริษัท ที่เปิดช่องลุยธุรกิจเครื่องดื่มอื่นๆ นอกเหนือน้ำอัดลม เพื่อใช้ศักยภาพของบริษัทให้เต็มที่ พร้อมขีดเส้นให้เวลาเป๊ปซี่15วันการพิจารณาแก้ไขสัญญา ที่บริษัทต้องการให้ลดค่าต้นทุนหัวน้ำเชื้อ หากไม่มีสัญญาณตอบกลับ สั่งบอร์ดเดินเกมบอกเลิกสัญญาทันที
การประชุมผู้ถือหุ้น บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (SSC) วานนี้ (15 ก.พ.) มีผู้ถือหุ้นรายเข้ามาร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งการประชุมใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ โดยสรุปที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจในอนาคตตามที่คณะกรรมการบริษัทเสนอ ขณะเดียวกัน บริษัทแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบว่าได้กำหนดกรอบเวลาให้กับกลุ่มเป๊ปซี่ในการแจ้งข้อเสนอขอแก้ไขสัญญาเดิมกลับมาบริษัทภายใน 15 วันนับจากวันนี้ ซึ้งระหว่างการประชุมมีผู้ถือหุ้นบางรายแสดงความกังวลกับอนาคตในการดำเนินธุรกิจของบริษัท หากต้องมีการแก้ไขสัญญากับทางเป๊ปซี่ โค หรือการเจรจาครั้งใหม่จะไม่สัมฤทธิ์ผล
สำหรับแผนธุรกิจในอนาคตของบมจ.เสริมสุข โดยสังเขป คือ บริษัทจะขยายตลาดไปสู่เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม รวมถึงขยายตลาดน้ำดื่มภายใต้เครื่องหมายการค้า “คริสตัล” การเป็นผู้จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และการเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมภายใต้เครื่องหมายการค้าอื่น
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการ SSC กล่าวภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นว่า ผู้ถือหุ้นเห็นชอบกับแผนดำเนินธุรกิจในอนาคตของบริษัทแล้ว ซึ่งบริษัทจะดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติ ขณะเดียวกันในส่วนของเป๊ปซี่ โค ทางบริษัทจะมีการเจรจาเพื่อขอแก้ไขสัญญาระหว่างกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีช่วงเวลา 15 วัน ถ้ายังไม่มีข้อสรุป ขั้นต่อไปก็จะเป็นไปตามเงื่อนไขของการบอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ตามผลประชุมในครั้งนี้ ไม่ใช่การประกาศแตกหักกับเป๊ปซี่ โค แต่เพื่อเป็นการให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ณ เวลานี้ แผนลงทุนทุกอย่างยังดำเนินการตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทจะส่งข้อเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ให้กับกลุ่มเป๊ปซี่ว่าจะมีการเจรจาตกลงแก้ไขสัญญาระหว่างกันหรือไม่ โดยให้เวลากับกลุ่มเป๊ปซี่ 15 วันนับตั้งแต่วันที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ(15ก.พ.) หรือภายในวันที่ 2 มี.ค.54 และต้องทำสัญญาฉบับใหม่ ภายในวันที่ 31 มี.ค. 54 แต่ถ้ากลุ่มเป๊ปซี่ ไม่ยอมตอบกลับมาภายในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ที่ประชุมก็ให้บริษัทบอกเลิกสัญญาระหว่างบริษัทกับเป็ปซี่
สำหรับการแก้ไขสาระสำคัญในสัญญา ได้แก่ กำหนดสูตรการคิดราคาค่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งบริษัทเสนอให้คิดค่าหัวน้ำเชื้อลดลงประมาณร้อยละ 9 ต่อปีจากราคาภายใต้สัญญา EBA ปัจจุบัน แต่ทางกลุ่มเป๊ปซี่ส่งหนังสือกลับมาเมื่อ 28 ม.ค.ว่า ขอปรับเงื่อนไขสูตรการคิดค่าน้ำหัวเชื้อลดลงร้อยละ 8.2 ต่อปี จากราคาภายใต้สัญญา EBA ปัจจุบัน แม้บริษัทขอเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม แต่ทางกลุ่มเป๊ปซี่ โค ยังยืนยันคงสิทธิเลิกสัญญาหากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม
ทั้งนี้ บริษัทมีข้อกังวลในเรื่องข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมศักยภาพบริษัท ซึ่งบริษัทมีศักยภาพ แต่ปัจจุบันตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าบริษัทไม่มีการเปลี่ยนและไม่ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ก็อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทในอนาคตได้ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนค่าเรงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายได้ ที่ผ่านมา บมจ.เสริมสุข มีรายจ่ายค่าต้นทุนน้ำเชื้อ เช่นในปี 2553 ประมาณ 3,300 ล้านบาท ประกอบกับ อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงจากสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
นางสาวเพียงพนอ บุญกล่ำ ที่ปรึกษากฎหมายจาก บริษัท วีระวงศ์ ชินวัฒน์ และ เพียงพนอ จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเป๊ปซี่ โค มีเวลา 15 วันที่จะยืนยันตามข้อเสนอแต่หากไม่ตอบหรือปฏิเสธ ที่ประชุมได้ให้อำนาจกับคณะกรรมการบริษัทในการยกเลิกสัญญาได้ทันทีหรือไม่เกิน 12 เดือน โดยตามสัญญา Exclusive Bottling Appointment (EBA) ที่ทำสัญญากับเป๊ปซี่นั้น เป็นการใช้กฎหมายนิวยอร์ก ซึ่งจะมีที่ปรึกษาจากนิวยอร์กมาดูแล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในช่วง 12 เดือน บมจ.เสริมสุขน่าจะหาพันธมิตรเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจได้ เช่น นักธรุกิจจากญี่ปุ่น เพราะเห็นว่าธุรกิจไทยมีศักยภาพ
สำหรับผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาของ บมจ.เสริมสุข มียอดขายรวมมีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดขายเป๊ปซี่ 70% หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ net profit margin มีไม่ถึง 2% ในขณะที่ยอดขายจากน้ำดื่ม"คริสตัล"มี net profit margin สูงกว่าและอัตราการเติบโตของรายได้มีระดับ 17.5% ต่อปี ส่วน กลุ่มเป๊ปซี่ โค และ เซเว่น-อัพ ถือหุ้นใน SSC กว่า 40% ถ้าบริษัทมีกำไรที่ดีขึ้น น่าจะส่งผลดีให้กับกลุ่มเป๊ปซี่และเซเว่น-อัพ และปัจจุบัน บริษัทมีรายได้และทำกำไรจากการขายเครื่องดื่ม “คริสตัล” รวมทั้งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม “คาราบาวแดง” และ “ชาเขียวโออิชิ”, น้ำผลไม้ “ทรอปิคาน่า” และ “ทวิตเตอร์”
ขณะเดียวกัน วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขาย(SP) หุ้น บมจ.เสริมสุข (SSC) ตามที่ SSC ร้องขอ เนื่องจาก SSC อยู่ในระหว่างการดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 เพื่อให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติให้ SSC ทำการแก้ไขสัญญาระหว่าง SSC กับ เป๊ปซี่ โดยใช้ราคาและเงื่อนไขอันเป็นผลมาจากการเจรจา หรืออนุมัติให้ SSC ดำเนินการตามแผนธุรกิจในอนาคตประการใดประการหนึ่งโดยที่ขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ลงทุน
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย “SP” จนกว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าวมายังตลาดหลักทรัพย์
การประชุมผู้ถือหุ้น บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (SSC) วานนี้ (15 ก.พ.) มีผู้ถือหุ้นรายเข้ามาร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งการประชุมใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ โดยสรุปที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินการจัดทำแผนธุรกิจในอนาคตตามที่คณะกรรมการบริษัทเสนอ ขณะเดียวกัน บริษัทแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบว่าได้กำหนดกรอบเวลาให้กับกลุ่มเป๊ปซี่ในการแจ้งข้อเสนอขอแก้ไขสัญญาเดิมกลับมาบริษัทภายใน 15 วันนับจากวันนี้ ซึ้งระหว่างการประชุมมีผู้ถือหุ้นบางรายแสดงความกังวลกับอนาคตในการดำเนินธุรกิจของบริษัท หากต้องมีการแก้ไขสัญญากับทางเป๊ปซี่ โค หรือการเจรจาครั้งใหม่จะไม่สัมฤทธิ์ผล
สำหรับแผนธุรกิจในอนาคตของบมจ.เสริมสุข โดยสังเขป คือ บริษัทจะขยายตลาดไปสู่เครื่องดื่มที่ไม่ใช่น้ำอัดลม รวมถึงขยายตลาดน้ำดื่มภายใต้เครื่องหมายการค้า “คริสตัล” การเป็นผู้จัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และการเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมภายใต้เครื่องหมายการค้าอื่น
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการ SSC กล่าวภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นว่า ผู้ถือหุ้นเห็นชอบกับแผนดำเนินธุรกิจในอนาคตของบริษัทแล้ว ซึ่งบริษัทจะดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติ ขณะเดียวกันในส่วนของเป๊ปซี่ โค ทางบริษัทจะมีการเจรจาเพื่อขอแก้ไขสัญญาระหว่างกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีช่วงเวลา 15 วัน ถ้ายังไม่มีข้อสรุป ขั้นต่อไปก็จะเป็นไปตามเงื่อนไขของการบอกเลิกสัญญา อย่างไรก็ตามผลประชุมในครั้งนี้ ไม่ใช่การประกาศแตกหักกับเป๊ปซี่ โค แต่เพื่อเป็นการให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ณ เวลานี้ แผนลงทุนทุกอย่างยังดำเนินการตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทจะส่งข้อเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้ให้กับกลุ่มเป๊ปซี่ว่าจะมีการเจรจาตกลงแก้ไขสัญญาระหว่างกันหรือไม่ โดยให้เวลากับกลุ่มเป๊ปซี่ 15 วันนับตั้งแต่วันที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ(15ก.พ.) หรือภายในวันที่ 2 มี.ค.54 และต้องทำสัญญาฉบับใหม่ ภายในวันที่ 31 มี.ค. 54 แต่ถ้ากลุ่มเป๊ปซี่ ไม่ยอมตอบกลับมาภายในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ที่ประชุมก็ให้บริษัทบอกเลิกสัญญาระหว่างบริษัทกับเป็ปซี่
สำหรับการแก้ไขสาระสำคัญในสัญญา ได้แก่ กำหนดสูตรการคิดราคาค่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งบริษัทเสนอให้คิดค่าหัวน้ำเชื้อลดลงประมาณร้อยละ 9 ต่อปีจากราคาภายใต้สัญญา EBA ปัจจุบัน แต่ทางกลุ่มเป๊ปซี่ส่งหนังสือกลับมาเมื่อ 28 ม.ค.ว่า ขอปรับเงื่อนไขสูตรการคิดค่าน้ำหัวเชื้อลดลงร้อยละ 8.2 ต่อปี จากราคาภายใต้สัญญา EBA ปัจจุบัน แม้บริษัทขอเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม แต่ทางกลุ่มเป๊ปซี่ โค ยังยืนยันคงสิทธิเลิกสัญญาหากมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจควบคุม
ทั้งนี้ บริษัทมีข้อกังวลในเรื่องข้อตกลงเกี่ยวกับการควบคุมศักยภาพบริษัท ซึ่งบริษัทมีศักยภาพ แต่ปัจจุบันตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าบริษัทไม่มีการเปลี่ยนและไม่ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ก็อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทในอนาคตได้ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ และต้นทุนค่าเรงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายได้ ที่ผ่านมา บมจ.เสริมสุข มีรายจ่ายค่าต้นทุนน้ำเชื้อ เช่นในปี 2553 ประมาณ 3,300 ล้านบาท ประกอบกับ อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงจากสัญญาที่ทำไว้ ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
นางสาวเพียงพนอ บุญกล่ำ ที่ปรึกษากฎหมายจาก บริษัท วีระวงศ์ ชินวัฒน์ และ เพียงพนอ จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเป๊ปซี่ โค มีเวลา 15 วันที่จะยืนยันตามข้อเสนอแต่หากไม่ตอบหรือปฏิเสธ ที่ประชุมได้ให้อำนาจกับคณะกรรมการบริษัทในการยกเลิกสัญญาได้ทันทีหรือไม่เกิน 12 เดือน โดยตามสัญญา Exclusive Bottling Appointment (EBA) ที่ทำสัญญากับเป๊ปซี่นั้น เป็นการใช้กฎหมายนิวยอร์ก ซึ่งจะมีที่ปรึกษาจากนิวยอร์กมาดูแล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ในช่วง 12 เดือน บมจ.เสริมสุขน่าจะหาพันธมิตรเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจได้ เช่น นักธรุกิจจากญี่ปุ่น เพราะเห็นว่าธุรกิจไทยมีศักยภาพ
สำหรับผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาของ บมจ.เสริมสุข มียอดขายรวมมีประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยอดขายเป๊ปซี่ 70% หรือ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ net profit margin มีไม่ถึง 2% ในขณะที่ยอดขายจากน้ำดื่ม"คริสตัล"มี net profit margin สูงกว่าและอัตราการเติบโตของรายได้มีระดับ 17.5% ต่อปี ส่วน กลุ่มเป๊ปซี่ โค และ เซเว่น-อัพ ถือหุ้นใน SSC กว่า 40% ถ้าบริษัทมีกำไรที่ดีขึ้น น่าจะส่งผลดีให้กับกลุ่มเป๊ปซี่และเซเว่น-อัพ และปัจจุบัน บริษัทมีรายได้และทำกำไรจากการขายเครื่องดื่ม “คริสตัล” รวมทั้งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม “คาราบาวแดง” และ “ชาเขียวโออิชิ”, น้ำผลไม้ “ทรอปิคาน่า” และ “ทวิตเตอร์”
ขณะเดียวกัน วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขาย(SP) หุ้น บมจ.เสริมสุข (SSC) ตามที่ SSC ร้องขอ เนื่องจาก SSC อยู่ในระหว่างการดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2554 เพื่อให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติให้ SSC ทำการแก้ไขสัญญาระหว่าง SSC กับ เป๊ปซี่ โดยใช้ราคาและเงื่อนไขอันเป็นผลมาจากการเจรจา หรืออนุมัติให้ SSC ดำเนินการตามแผนธุรกิจในอนาคตประการใดประการหนึ่งโดยที่ขั้นตอนการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ลงทุน
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงขึ้นเครื่องหมาย “SP” จนกว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าวมายังตลาดหลักทรัพย์