กทพ.เล็งพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วน เตรียมปั้นเป็นแหล่งช็อปปิ้งวัยโจ๋แห่งใหม่ คาดสร้างรายได้อีกปีละ 500 ล้าน เตรียมเปิดทำเลทองจุดใต้ทางด่วนบริเวณถนนสุขุมวิท สาธร สีลม โดยเปิดให้เอกชนที่มีความสนใจเข้ามาเสนอเงื่อนไขในการปรับปรุงพื้นที่ และเสนอผลตอบแทนกับ กทพ. เพื่อใช้ประโยชน์ทางการค้า
พ.ท.ทวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ภายหลัง กทพ.ได้จ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาปรับปรุงแผนแม่บท ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางด่วนของ กทพ. จากเดิมที่ กทพ. มีพื้นที่เหล่านี้ประมาณ 500,000 ตารางเมตร แต่โอนไปให้กรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์แล้ว 300,000 ตารางเมตร โดยเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ทางด่วน ส่วนที่เหลืออีก 200,000 ตารางเมตร นั้น กทพ. เตรียมจะดำเนินการจัดการในอีก 3 แนวทาง คือ 1. ดูว่าจะต้องมีการโอนให้ชุมชนใช้ประโยชน์เพิ่มอีกเท่าใด 2. ใช้ประโยชน์เพื่อการปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงจุดขึ้นลงทางด่วน ให้มีศักยภาพมากขึ้น และ 3. นำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในการสร้างรายได้ตอบแทนแก่ กทพ.ในอนาคต
สำหรับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์นี้ กทพ. ประเมินไว้ว่า จะมีที่ดินที่มีศักยภาพอยู่ประมาณ 50,000 ตารางเมตร ในจุดใต้ทางด่วนบริเวณถนนสุขุมวิท สาธร สีลม ซึ่งส่วนนี้จะมีการเปิดให้เอกชนที่มีความสนใจเข้ามาเสนอเงื่อนไขในการปรับปรุงพื้นที่ และเสนอผลตอบแทนกับ กทพ. เพื่อใช้ประโยชน์ทางการค้า โดยเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในประมาณกลางปี 2553
“พื้นที่เชิงพาณิชย์เหล่านี้ในอนาคตจะเหมือนย่านกินซ่า ของญี่ปุ่น ที่มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางพิเศษมาทำร้านค้า ซึ่ง กทพ. หวังว่าในปีแรกอาจมีรายได้เพิ่มปีละไม่มาก แต่เมื่อเสร็จสมบูรณ์มีศักยภาพที่จะสร้างรายได้กลับมาให้ กทพ. ไม่น้อยกว่าปีละ 500-1,000 ล้านบาท” พ.ท.ทวีสิน กล่าว
นอกจากนี้ ในกลางปี 2553 กทพ. มีแผนที่จะนำโครงการป้ายจราจรอัจฉริยะมาใช้ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายป้ายอัจฉริยะของกรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากจะบอกความหนาแน่นของการจราจร บริเวณบนทางด่วนและทางขึ้นลงทางด่วนตามจุดต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นการแนะนำเส้นทางการใช้ทางด่วนในทุกเส้นทางด้วย
ทั้งนี้ กทพ. เชื่อว่าโครงการสำคัญเหล่านี้ จะช่วยสร้างรายได้กลับคืนมาให้ กทพ. มากขึ้น เพื่อนำไปใช้ทยอยคืนหนี้การลงทุนในอดีต ซึ่งขณะนี้ กทพ.มีประมาณ 90,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขรายได้ของ กทพ.ในปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณร้อยละ 106 โดยในปี 2551 กทพ. มีรายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท และเชื่อว่าโครงการสำคัญที่ กทพ. มีในขณะนี้ จะช่วยให้ กทพ.มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 2,900 -3,000 ล้านบาท ในปีหน้า
พ.ท.ทวีสิน รักกตัญญู ผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ภายหลัง กทพ.ได้จ้างคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาปรับปรุงแผนแม่บท ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางด่วนของ กทพ. จากเดิมที่ กทพ. มีพื้นที่เหล่านี้ประมาณ 500,000 ตารางเมตร แต่โอนไปให้กรุงเทพมหานครใช้ประโยชน์แล้ว 300,000 ตารางเมตร โดยเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ทางด่วน ส่วนที่เหลืออีก 200,000 ตารางเมตร นั้น กทพ. เตรียมจะดำเนินการจัดการในอีก 3 แนวทาง คือ 1. ดูว่าจะต้องมีการโอนให้ชุมชนใช้ประโยชน์เพิ่มอีกเท่าใด 2. ใช้ประโยชน์เพื่อการปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงจุดขึ้นลงทางด่วน ให้มีศักยภาพมากขึ้น และ 3. นำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ในการสร้างรายได้ตอบแทนแก่ กทพ.ในอนาคต
สำหรับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์นี้ กทพ. ประเมินไว้ว่า จะมีที่ดินที่มีศักยภาพอยู่ประมาณ 50,000 ตารางเมตร ในจุดใต้ทางด่วนบริเวณถนนสุขุมวิท สาธร สีลม ซึ่งส่วนนี้จะมีการเปิดให้เอกชนที่มีความสนใจเข้ามาเสนอเงื่อนไขในการปรับปรุงพื้นที่ และเสนอผลตอบแทนกับ กทพ. เพื่อใช้ประโยชน์ทางการค้า โดยเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในประมาณกลางปี 2553
“พื้นที่เชิงพาณิชย์เหล่านี้ในอนาคตจะเหมือนย่านกินซ่า ของญี่ปุ่น ที่มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางพิเศษมาทำร้านค้า ซึ่ง กทพ. หวังว่าในปีแรกอาจมีรายได้เพิ่มปีละไม่มาก แต่เมื่อเสร็จสมบูรณ์มีศักยภาพที่จะสร้างรายได้กลับมาให้ กทพ. ไม่น้อยกว่าปีละ 500-1,000 ล้านบาท” พ.ท.ทวีสิน กล่าว
นอกจากนี้ ในกลางปี 2553 กทพ. มีแผนที่จะนำโครงการป้ายจราจรอัจฉริยะมาใช้ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายป้ายอัจฉริยะของกรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากจะบอกความหนาแน่นของการจราจร บริเวณบนทางด่วนและทางขึ้นลงทางด่วนตามจุดต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นการแนะนำเส้นทางการใช้ทางด่วนในทุกเส้นทางด้วย
ทั้งนี้ กทพ. เชื่อว่าโครงการสำคัญเหล่านี้ จะช่วยสร้างรายได้กลับคืนมาให้ กทพ. มากขึ้น เพื่อนำไปใช้ทยอยคืนหนี้การลงทุนในอดีต ซึ่งขณะนี้ กทพ.มีประมาณ 90,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขรายได้ของ กทพ.ในปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณร้อยละ 106 โดยในปี 2551 กทพ. มีรายได้รวมประมาณ 1,200 ล้านบาท และเชื่อว่าโครงการสำคัญที่ กทพ. มีในขณะนี้ จะช่วยให้ กทพ.มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 2,900 -3,000 ล้านบาท ในปีหน้า
