“สันติ” ชี้ มติ ครม.ชดเชย BECL แค่เห็นชอบหลักการยังไม่มีผลทางปฏิบัติ เตรียมส่งอัยการสูงสุดดูสัญญาเพื่อความรอบคอบ “เผชิญ” แจงเป็นการบริหารความเสี่ยง กรณีศาลตัดสิน กทพ.แพ้แต่หากชนะ ไม่ต้องจ่ายสักบาท
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2551 ที่เห็นชอบการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งและข้อพิพาทกรณีการปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) นั้น เป็นการอนุมัติแนวทางการดำเนินงานเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการแบ่งรายได้ระหว่างกันแต่อย่างใด ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะส่งเรื่องให้ทางสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาในสัญญาว่าเป็นอย่างไรก่อน
นายเผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กล่าวว่า เรื่องการชดเชยให้ บีอีซีแอล ตามผลการเจรจาและคณะกรรมการ กทพ.ได้เห็นชอบ โดยไม่รอผลการตัดสินของศาลนั้น ถือเป็นหลักการซึ่งถือเป็นการบริหารความเสี่ยง ซึ่งหากผลการตัดสินของศาลออกมาว่า กทพ.ดำเนินการไม่ถูกต้องตามที่บีอีซีแอลฟ้องร้อง กทพ.ก็ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเท่ากับที่มีการประเมินตัวเลขไว้ แต่หากผลตัดสินออกมาว่า กทพ.ดำเนินการถูกต้องแล้ว กทพ.ก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใดๆ ให้บีอีซีแอลเลย อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์นี้จะเชิญผู้แทนจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทพ.ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางในโครงการทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัชให้กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ต่อไปอีก 8 ปี 10 เดือน หลังสิ้นสุดสัมปทานในปี 2563 เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและรายละเอียด
ทั้งนี้ ผลเจรจากับ บีอีซีแอล นั้น กทพ.จะจ่ายชดเชยค่าเสียหายจากรายได้การปรับค่าผ่านทางโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ตามที่ บีอีซีแอลประเมินมูลค่าไว้ที่ 78,350 ล้านบาท เหลือ 18,086 ล้านบาท โดย กทพ.จะเริ่มทยอยผ่อนชำระให้ BECL หลังจากหมดอายุสัมปทานในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นเวลา 8 ปี 10 เดือน ในอัตรา 40% ของรายได้ค่าผ่านทางทั้งหมดต่อปี
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ก.ย.2551 ที่เห็นชอบการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งและข้อพิพาทกรณีการปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL) นั้น เป็นการอนุมัติแนวทางการดำเนินงานเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการแบ่งรายได้ระหว่างกันแต่อย่างใด ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะส่งเรื่องให้ทางสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาในสัญญาว่าเป็นอย่างไรก่อน
นายเผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กล่าวว่า เรื่องการชดเชยให้ บีอีซีแอล ตามผลการเจรจาและคณะกรรมการ กทพ.ได้เห็นชอบ โดยไม่รอผลการตัดสินของศาลนั้น ถือเป็นหลักการซึ่งถือเป็นการบริหารความเสี่ยง ซึ่งหากผลการตัดสินของศาลออกมาว่า กทพ.ดำเนินการไม่ถูกต้องตามที่บีอีซีแอลฟ้องร้อง กทพ.ก็ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากเท่ากับที่มีการประเมินตัวเลขไว้ แต่หากผลตัดสินออกมาว่า กทพ.ดำเนินการถูกต้องแล้ว กทพ.ก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยใดๆ ให้บีอีซีแอลเลย อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์นี้จะเชิญผู้แทนจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทพ.ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางในโครงการทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษศรีรัชให้กับบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ต่อไปอีก 8 ปี 10 เดือน หลังสิ้นสุดสัมปทานในปี 2563 เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและรายละเอียด
ทั้งนี้ ผลเจรจากับ บีอีซีแอล นั้น กทพ.จะจ่ายชดเชยค่าเสียหายจากรายได้การปรับค่าผ่านทางโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 (ศรีรัช) ตามที่ บีอีซีแอลประเมินมูลค่าไว้ที่ 78,350 ล้านบาท เหลือ 18,086 ล้านบาท โดย กทพ.จะเริ่มทยอยผ่อนชำระให้ BECL หลังจากหมดอายุสัมปทานในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นเวลา 8 ปี 10 เดือน ในอัตรา 40% ของรายได้ค่าผ่านทางทั้งหมดต่อปี
