ผู้จัดการรายวัน – คาดประชาชนแห่เติมน้ำมันหลังปัจจัยเอื้อน้ำมันลด 2 เด้ง ทั้งราคาตลาดโลกและมาตรการเฉือนเนื้อภาษีสรรพสามิต ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันวันนี้ลดลงทันที 3.30-4.70 บาทต่อลิตร บิ๊ก ปตท.ครวญที่ผ่านมาไม่ใช่ผู้ร้าย และหากถูกถอดจากตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้ทำให้คนไทยใช้น้ำมันถูกลง เหตุเป็นกลไกตลาด ขณะที่บอร์ด กทพ.อนุมัติขึ้นค่าทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 มีผล 1 ก.ย. รถ 4 ล้อ เพิ่มอีก 5 บาท หรือเป็น 45 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 ก.ค.) ผู้ค้าน้ำมันทุกรายได้แจ้งปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันลงตามราคาตลาดโลก โดยราคาเบนซิน 91 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร กลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 82 สตางค์ต่อลิตร ไบโอดีเซล(บี5 ) ลดลง 83 สตางค์ต่อลิตร และดีเซล 79 สตางค์ต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อรวมผลของการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่รัฐบาลประกาศแก๊สโซฮอล์ 95 จำนวน 3.88 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ลด 3.83 บาทต่อลิตร ดีเซลลด 2.71 บาทต่อลิตรและบี 5 ลด 2.47 บาทต่อลิตรจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวมกลุ่มแก๊สโซฮอล์จะลดทันที 4.70 บาทต่อลิตรและดีเซล 3.50 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซลลด 3.30 บาทต่อลิตร
ดังนั้นราคาขายปลีกน้ำมันวันที่ 25 ก.ค.จะเป็นดังนี้ เบนซิน อี 20 เป็น 29.79 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 31.09 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 30.29 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เป็น 38.59 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซล(บี5 ) เป็น 38.24 บาทต่อลิตร ดีเซลเป็น 38.74 บาทต่อลิตร ซึ่งถือเป็นการลดต่ำกว่าระดับ 40 บาทต่อลิตรของดีเซลในรอบเดือนกว่า และผลจากราคาที่ลดลงดังกล่าวทำให้ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่เงียบเหงาเนื่องจากประชาชนอั้นคอยเติมน้ำมันราคาถูกของวันที่ 25 ก.ค.แทนซึ่งคาดว่าวันดังกล่าวจะมีคนแห่มาเติมค่อนข้างมากทำให้หลายบริษัทได้มีการสำรองน้ำมันรองรับแล้ว
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาเรื่อง”มุมคิด...แก้วิกฤติเศรษฐกิจไทย (ปัญหาที่รุมเร้า) ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) วานนี้ (24ก.ค.) ว่า วิกฤติน้ำมันนั้นต้องยอมรับความจริงว่าเป็นเรื่องของตลาดโลก โดยขณะนี้ถือเป็นแนวโน้มข่าวดีที่ตลาดโลกเริ่มปรับราคาลดลง แต่ทิศทางก็ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ความต้องการจากจีนและอินเดียยังสูง ขณะที่การผลิตตึงตัว และยังมีเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ทั้งปัญหาอิหร่าน เฮอร์ริเคน ฯลฯ ดังนั้นราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยคงอยู่ระดับไม่ต่ำกว่า 120 เหรียญต่อบาร์เรล
“ราคาขายปลีกไทยคงจะวิ่งระดับประมาณปัจจุบันคือ 30 กว่าบาทต่อลิตรเพราะรัฐมีการลดภาษีสรรพสามิตหลังหมดการลดภาษีสรรพสามิตก็อาจจะวิ่งระดับ 40 บาทต่อลิตร คงไม่หนีไปกว่านี้ ซึ่งราคาน้ำมันเราก็คงต้องฝากชีวิตไว้กับประเทศผู้ทรงอิทธิพลของโลกเพียงไม่กี่ประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลางซึ่งแนวโน้มราคาขายปลีกจากนี้ไปก็ยังมีโอกาสลดลงได้อีกแต่ก็ยังต้องดูตลาดโลกวันต่อวันอยู่”นายประเสริฐกล่าว
น้ำมันไนเม็กซ์ดิ่งปิด 124.44 ดอลล์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ วานนี้ปิดที่ระดับปิดต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันพุธและปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่สองติดต่อกัน ในขณะที่การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นบดบังการดิ่งลงเกินคาดของสต็อกน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ก.ย.ดิ่งลง 3.98 ดอลลาร์ หรือ 3.1 % มาปิด ตลาดที่ 124.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 124.30-128.70 ดอลลาร์ โดยระดับปิดวันพุธถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ปิดที่ 122.30 ดอลลาร์ในวันที่ 4 มิ.ย.เป็นต้นมา ส่วนจุดต่ำสุดของวันพุธถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่แตะ 121.61 ดอลลาร์ในวันที่ 5 มิ.ย. ขณะที่ราคาน้ำมัน heating oil ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 12.81 เซนต์ หรือ 3.48 % ปิด 3.5501 ดอลลาร์ต่อแกลลอน , ราคาน้ำมันเบนซิน RBOB ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 11.26 เซนต์ หรือ 3.58 % ปิด3.0344 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 4.26 ดอลลาร์ หรือ 3.29 % ปิด 125.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปีนี้นำเข้าน้ำมันล้านล้านบาท
นายประเสริฐยอมรับว่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อประกอบกับไทยยังคงพึ่งพิงน้ำมันค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี โดยปีที่ผ่านมามีการนำเข้าน้ำมัน 8-9 แสนล้านบาทคิดเป็น 10% ของจีดีพีและปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 10% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหลายคนมองว่าปตท.เป็นผู้ร้ายนั้นก็เป็นสิทธิที่จะคิดแต่ตนในฐานะที่เป็นผู้บริหารยืนยันว่าได้ดำเนินการให้เป็นประโยชน์สูงสุดของภาครัฐส่วนจะมีการถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลายมาเป็นการปิโตรเลียมเหมือนเดิม คงไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงไปมากกว่าขณะนี้ เพราะราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก
สินค้าขอขึ้นเป็นต้นทุนผลิตเดิม
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า กรณีที่มีสินค้า 19 รายการขอขึ้นราคากับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์นั้นเป็นเรื่องของสินค้าเดิมที่เคยขอไปแล้วแต่ภาครัฐได้ขอให้พิจารณาตรึงราคาไว้ก่อน ดังนั้นแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงขณะนี้ เชื่อว่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาทางเศรษฐกิจได้บ้างแต่การจะมีผลให้ราคาสินค้าปรับลดลงนั้นคงจะต้องเป็นเรื่องของการผลิตล็อตใหม่มากกว่าและต้นทุนจะต้องดูภาพรวมเพราะทิศทางน้ำมันก็ยังไม่แน่นอนในตลาดโลกประกอบกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่นเหล็ก สินค้าเกษตรยังมีทิศทางที่ขึ้นอยู่
ลงทุนภาครัฐต่ำไปปัญหาระยะยาว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวว่า จุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีมานี้จะพบว่ามีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐที่ต่ำเกินไป โดยก่อนหน้ามีการลงทุนสูงถึง 40% ปัจจุบันการลงทุนภาครัฐเหลือไม่เพียง 15-20% ทำให้มีผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดและงบประมาณปี 2552 หากพิจารณาก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการต่อเนื่องและเป็นงบผูกพันโครงการใหม่แทบไม่มีซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เห็นว่าจะเป็นปัญหาระยะยาว
“เราจะต้องเน้นพึ่งพาพลังงานที่ไม่หมดไปให้มากขึ้นและปรับระบบขนส่งให้มาเน้นระบบรางทั้งการขนคน และขนส่งสินค้า ซึ่งการลงทุนสิ่งเหล่านี้มีข้อจำกัดที่ไม่ได้เกิดได้ทันทีทั้งหมดพร้อมกันเพราะใช้เงินมากจึงเห็นว่าบางอย่างการเปิดให้เอกชนเข้าถือหุ้นก็น่าจะเป็นวิธีการระดมทุนได้อีกทางแทนที่จะกู้เงินอย่างเดียว”นายอาคมกล่าว
ไฟเขียวขึ้นค่าทางด่วน 1 ก.ย.นี้
นายสุรชัย ธารสิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมวานนี้ (24 ก.ค.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ กทพ.ปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษศรีรัช ซึ่งเป็นไปตามสัญญา โดยรถประเภทรถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท ,ประเภทรถ 6-10 ล้อ จาก 60 บาท เป็น 70 บาท และมากกว่า 10 ล้อขึ้นไป จาก 85 บาทเป็น 100 บาท ส่วนช่วงแจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น เก็บ 15 บาท ,20 บาท และ 35 บาทตามลำดับ ช่วงพระราม9-ศรีนครินทร์ เก็บ 25 บาท,50 บาท และ 70 บาท ตามลำดับ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2551
และปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) ช่วงแจ้งวัฒนะ-เชียงราก ประเภทรถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท ,ประเภทรถ 6-10 ล้อ จาก 80 บาท เป็น 95 บาท,มากกว่า 10 ล้อขึ้นไป จาก 125 บาทเป็น 140 บาท ส่วนช่วงเชียงราก-บางไทร เก็บอัตราเดิมที่ 10 บาท,20 บาท และ 30 บาทตามลำดับ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2551
ทั้งนี้ กทพ.จะเสนอค่าผ่านทางอัตราใหม่ต่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อออกประกาศกระทรวง และประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ทันตามกำหนดดังกล่าว ซึ่งระบุไว้ในสัญญาสัมปทานระหว่าง กทพ.และ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กทพ.จะเสนอต่อกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอให้ผู้ใช้ทางรับภาระเอง จากที่ผ่านมา กทพ.เป็นผู้รับภาระแทนประมาณ 700-800 ล้านบาทต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (24 ก.ค.) ผู้ค้าน้ำมันทุกรายได้แจ้งปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันลงตามราคาตลาดโลก โดยราคาเบนซิน 91 ลดลง 80 สตางค์ต่อลิตร กลุ่มแก๊สโซฮอล์ลดลง 82 สตางค์ต่อลิตร ไบโอดีเซล(บี5 ) ลดลง 83 สตางค์ต่อลิตร และดีเซล 79 สตางค์ต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อรวมผลของการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่รัฐบาลประกาศแก๊สโซฮอล์ 95 จำนวน 3.88 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ลด 3.83 บาทต่อลิตร ดีเซลลด 2.71 บาทต่อลิตรและบี 5 ลด 2.47 บาทต่อลิตรจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวมกลุ่มแก๊สโซฮอล์จะลดทันที 4.70 บาทต่อลิตรและดีเซล 3.50 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซลลด 3.30 บาทต่อลิตร
ดังนั้นราคาขายปลีกน้ำมันวันที่ 25 ก.ค.จะเป็นดังนี้ เบนซิน อี 20 เป็น 29.79 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 31.09 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 30.29 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 เป็น 38.59 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซล(บี5 ) เป็น 38.24 บาทต่อลิตร ดีเซลเป็น 38.74 บาทต่อลิตร ซึ่งถือเป็นการลดต่ำกว่าระดับ 40 บาทต่อลิตรของดีเซลในรอบเดือนกว่า และผลจากราคาที่ลดลงดังกล่าวทำให้ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่เงียบเหงาเนื่องจากประชาชนอั้นคอยเติมน้ำมันราคาถูกของวันที่ 25 ก.ค.แทนซึ่งคาดว่าวันดังกล่าวจะมีคนแห่มาเติมค่อนข้างมากทำให้หลายบริษัทได้มีการสำรองน้ำมันรองรับแล้ว
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาเรื่อง”มุมคิด...แก้วิกฤติเศรษฐกิจไทย (ปัญหาที่รุมเร้า) ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) วานนี้ (24ก.ค.) ว่า วิกฤติน้ำมันนั้นต้องยอมรับความจริงว่าเป็นเรื่องของตลาดโลก โดยขณะนี้ถือเป็นแนวโน้มข่าวดีที่ตลาดโลกเริ่มปรับราคาลดลง แต่ทิศทางก็ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ความต้องการจากจีนและอินเดียยังสูง ขณะที่การผลิตตึงตัว และยังมีเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ทั้งปัญหาอิหร่าน เฮอร์ริเคน ฯลฯ ดังนั้นราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยคงอยู่ระดับไม่ต่ำกว่า 120 เหรียญต่อบาร์เรล
“ราคาขายปลีกไทยคงจะวิ่งระดับประมาณปัจจุบันคือ 30 กว่าบาทต่อลิตรเพราะรัฐมีการลดภาษีสรรพสามิตหลังหมดการลดภาษีสรรพสามิตก็อาจจะวิ่งระดับ 40 บาทต่อลิตร คงไม่หนีไปกว่านี้ ซึ่งราคาน้ำมันเราก็คงต้องฝากชีวิตไว้กับประเทศผู้ทรงอิทธิพลของโลกเพียงไม่กี่ประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลางซึ่งแนวโน้มราคาขายปลีกจากนี้ไปก็ยังมีโอกาสลดลงได้อีกแต่ก็ยังต้องดูตลาดโลกวันต่อวันอยู่”นายประเสริฐกล่าว
น้ำมันไนเม็กซ์ดิ่งปิด 124.44 ดอลล์
ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ วานนี้ปิดที่ระดับปิดต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในวันพุธและปิดตลาดในแดนลบเป็นวันที่สองติดต่อกัน ในขณะที่การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นบดบังการดิ่งลงเกินคาดของสต็อกน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ก.ย.ดิ่งลง 3.98 ดอลลาร์ หรือ 3.1 % มาปิด ตลาดที่ 124.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 124.30-128.70 ดอลลาร์ โดยระดับปิดวันพุธถือเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ปิดที่ 122.30 ดอลลาร์ในวันที่ 4 มิ.ย.เป็นต้นมา ส่วนจุดต่ำสุดของวันพุธถือเป็นจุดต่ำสุดนับตั้งแต่แตะ 121.61 ดอลลาร์ในวันที่ 5 มิ.ย. ขณะที่ราคาน้ำมัน heating oil ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 12.81 เซนต์ หรือ 3.48 % ปิด 3.5501 ดอลลาร์ต่อแกลลอน , ราคาน้ำมันเบนซิน RBOB ส่งมอบเดือนส.ค.ดิ่งลง 11.26 เซนต์ หรือ 3.58 % ปิด3.0344 ดอลลาร์ต่อแกลลอน และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดกรุงลอนดอนดิ่งลง 4.26 ดอลลาร์ หรือ 3.29 % ปิด 125.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ปีนี้นำเข้าน้ำมันล้านล้านบาท
นายประเสริฐยอมรับว่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อประกอบกับไทยยังคงพึ่งพิงน้ำมันค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี โดยปีที่ผ่านมามีการนำเข้าน้ำมัน 8-9 แสนล้านบาทคิดเป็น 10% ของจีดีพีและปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 10% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหลายคนมองว่าปตท.เป็นผู้ร้ายนั้นก็เป็นสิทธิที่จะคิดแต่ตนในฐานะที่เป็นผู้บริหารยืนยันว่าได้ดำเนินการให้เป็นประโยชน์สูงสุดของภาครัฐส่วนจะมีการถอดถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลายมาเป็นการปิโตรเลียมเหมือนเดิม คงไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงไปมากกว่าขณะนี้ เพราะราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก
สินค้าขอขึ้นเป็นต้นทุนผลิตเดิม
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า กรณีที่มีสินค้า 19 รายการขอขึ้นราคากับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์นั้นเป็นเรื่องของสินค้าเดิมที่เคยขอไปแล้วแต่ภาครัฐได้ขอให้พิจารณาตรึงราคาไว้ก่อน ดังนั้นแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลงขณะนี้ เชื่อว่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาทางเศรษฐกิจได้บ้างแต่การจะมีผลให้ราคาสินค้าปรับลดลงนั้นคงจะต้องเป็นเรื่องของการผลิตล็อตใหม่มากกว่าและต้นทุนจะต้องดูภาพรวมเพราะทิศทางน้ำมันก็ยังไม่แน่นอนในตลาดโลกประกอบกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่นเหล็ก สินค้าเกษตรยังมีทิศทางที่ขึ้นอยู่
ลงทุนภาครัฐต่ำไปปัญหาระยะยาว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวว่า จุดอ่อนของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีมานี้จะพบว่ามีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐที่ต่ำเกินไป โดยก่อนหน้ามีการลงทุนสูงถึง 40% ปัจจุบันการลงทุนภาครัฐเหลือไม่เพียง 15-20% ทำให้มีผลต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดและงบประมาณปี 2552 หากพิจารณาก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโครงการต่อเนื่องและเป็นงบผูกพันโครงการใหม่แทบไม่มีซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เห็นว่าจะเป็นปัญหาระยะยาว
“เราจะต้องเน้นพึ่งพาพลังงานที่ไม่หมดไปให้มากขึ้นและปรับระบบขนส่งให้มาเน้นระบบรางทั้งการขนคน และขนส่งสินค้า ซึ่งการลงทุนสิ่งเหล่านี้มีข้อจำกัดที่ไม่ได้เกิดได้ทันทีทั้งหมดพร้อมกันเพราะใช้เงินมากจึงเห็นว่าบางอย่างการเปิดให้เอกชนเข้าถือหุ้นก็น่าจะเป็นวิธีการระดมทุนได้อีกทางแทนที่จะกู้เงินอย่างเดียว”นายอาคมกล่าว
ไฟเขียวขึ้นค่าทางด่วน 1 ก.ย.นี้
นายสุรชัย ธารสิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมวานนี้ (24 ก.ค.) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ กทพ.ปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษศรีรัช ซึ่งเป็นไปตามสัญญา โดยรถประเภทรถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท ,ประเภทรถ 6-10 ล้อ จาก 60 บาท เป็น 70 บาท และมากกว่า 10 ล้อขึ้นไป จาก 85 บาทเป็น 100 บาท ส่วนช่วงแจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น เก็บ 15 บาท ,20 บาท และ 35 บาทตามลำดับ ช่วงพระราม9-ศรีนครินทร์ เก็บ 25 บาท,50 บาท และ 70 บาท ตามลำดับ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2551
และปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด) ช่วงแจ้งวัฒนะ-เชียงราก ประเภทรถ 4 ล้อ จาก 40 บาท เป็น 45 บาท ,ประเภทรถ 6-10 ล้อ จาก 80 บาท เป็น 95 บาท,มากกว่า 10 ล้อขึ้นไป จาก 125 บาทเป็น 140 บาท ส่วนช่วงเชียงราก-บางไทร เก็บอัตราเดิมที่ 10 บาท,20 บาท และ 30 บาทตามลำดับ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2551
ทั้งนี้ กทพ.จะเสนอค่าผ่านทางอัตราใหม่ต่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อออกประกาศกระทรวง และประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ทันตามกำหนดดังกล่าว ซึ่งระบุไว้ในสัญญาสัมปทานระหว่าง กทพ.และ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BECL ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กทพ.จะเสนอต่อกระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอให้ผู้ใช้ทางรับภาระเอง จากที่ผ่านมา กทพ.เป็นผู้รับภาระแทนประมาณ 700-800 ล้านบาทต่อปี