ก.ล.ต.เผยผลตรวจสอบไอ้โม่งปล่อยข่าวลือไม่เป็นมงคลทุบหุ้น พบนักลงทุนนิรนามรายหนึ่งสั่งซื้อขายหุ้นสูงมากจนผิดปรกติ สั่งแกะรอยรายใหญ่-ต่างชาติ โยงใย 2 โบรกต่างชาติ "เครดิตสวิสฮ่องกง-ยูบีเอสสิงคโปร์" ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศที่ผิดปกติช่วงก่อนและหลังเกิดกระแสข่าวลือ เตรียมส่งข้อมูลเชิงลึกให้ "ดีเอสไอ" ตามล่าแหล่งกบดานไอ้โม่งทั้งในและต่างประเทศ "ธีระชัย" ครวญบทเรียนกระแสข่าวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูง เราต้องหาทางร่วมมือและแก้ไข เพื่อให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว และป้องกันการตื่นตระหนก แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงไม่มีใครสามารถชี้แจงได้โดยรวดเร็ว
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยผลการตรวจสอบกรณีการปล่อยข่าวลือไม่เป็นมงคลที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้นไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากโบรกเกอร์ในประเทศพบว่ามีบุคคลธรรมดา 1 รายที่มีการซื้อขายหุ้นในปริมาณสูงมากผิดปกติในระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคม 2552 โดยทีมงานของ ก.ล.ต.จะมีการตรวจสอบต่อไปว่ามีการเกี่ยวโยงหรืออาศัยประโยชน์จากกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้นอย่างไร
นอกจากนั้น ก.ล.ต.ยังอยู่ในระหว่างการขอข้อมูลจากโบรกเกอร์ต่างชาติ 2 ราย คือ เครดิตสวิสที่ฮ่องกง และ ยูบีเอสสิงคโปร์ เพื่อตรวจสอบในเชิงลึกหลังจากพบว่ามีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศที่ผิดปกติช่วงก่อนและหลังเกิดกระแสข่าวลือ
ก.ล.ต.พบว่ามีการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านเครดิตสวิสฮ่องกงอย่างผิดปกติ โดยในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 มีการสั่งขายหุ้นถึง 3 พันล้านบาท แต่หลังจากนั้นไม่พบการซื้อกลับอย่างผิดปกติ และพบการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านยูบีเอสสิงคโปร์ มีการสั่งขายในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 สูงถึง 1.3 พันล้านบาท และมีการซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ในวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ซึ่งทาง ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
"ต้องตรวจสอบในเชิงลึกว่านักลงทุนที่ซื้อขายผ่านโบรกฯ ของทั้ง 2 แห่ง เป็นต่างชาติจริงหรือเป็นฝรั่งหัวดำ และเกี่ยวโยงกับข่าวลือและการซื้อขายในประเทศหรือไม่"
"ส่วนผลจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบบัญชีของนักลงทุนไทยรายใหญ่ และบัญชีของนักลงทุนต่างประเทศบางรายที่อาจได้ประโยชน์จากการปล่อยข่าวดังกล่าว ซึ่งเป็นบัญชีที่มีการซื้อขาย short จำนวนมากอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ และมีการซื้อสุทธิในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจกช่วงก่อนหน้า"
ทั้งนี้ กรณีบุคคลธรรมดาที่เข้าข่ายน่าสงสัยนั้น พบว่าได้มีการซื้อขายเป็นปริมาณมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา โดยมียอดขายสุทธิ 353 ล้านบาท และในวันที่ 15 ตุลาคม 2552 มีการขายต่อเนื่องอีก 105 ล้านบาท และในวันที่ 16 ตุลาคม 2552 มีการซื้อกลับหรือซื้อสุทธิกว่า 250 ล้านบาท จึงอยู่ในข่ายที่น่าสงสัย แต่ต้องมีการตรวจสอบเชิงลึกว่าเกี่ยวโยงกับข่าวลือและได้รับประโยชน์จากข่าวลือนี้หรือไม่
สำหรับประเด็นที่ ก.ล.ต.จะเรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาสอบปากคำหรือไม่ คงต้องรอดูข้อมูลที่ชัดเจนอีกครั้งว่าการซื้อขายไม่มีการเชื่อมโยงกับข่าวลือหรือไม่ หากไม่พบว่ามีการเชื่อมโยงก็ไม่สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ แต่หากพบว่าเชื่อมโยงก็เข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 240 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 เท่าของประโยชน์ที่ได้รับ
"ถือว่ากรณีกระแสข่าวที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูง เป็นบทเรียนที่ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ ต้องหาทางร่วมมือและแก้ไข เพื่อให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนก แต่ที่มีผู้เสนอให้หยุดทำการซื้อขายเพื่อเช็คข่าวก่อน เป็นเรื่องยาก ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อย่างนี้จะมีใครสามารถชี้แจงความชัดเจนได้ในเวลาอันรวดเร็ว คงเป็นเรื่องยาก"
สำหรับในส่วนนักลงทุนต่างประเทศ ก.ล.ต.จะต้องดำเนินการขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากบริษัทหลักทรัพย์ไทย รวมทั้งขอความร่วมมือจากหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลเพื่อประกอบการตรวจสอบในเชิงลึกด้วย
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ก.ล.ต.จะรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติในช่วงระหว่างวันที่ 14-15 ต.ค.ซึ่งทำให้ดัชนีลาดหุ้นปรับลงอย่างรุนแรงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในสัปดาห์หน้า เพื่อให้การตรวจสอบสามารถทำได้เชิงลึกมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
"เมื่อส่งข้อมูลให้กับดีเอสไอ ก็จะเป็นคดีพิเศษ ที่สามารถตรวจสอบในเชิงลึกได้มากขึ้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถให้ข้อมูลร่วมกันต่อดีเอสไอ" นายธีระชัย กล่าวสรุปทิ้งท้าย