นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ ชี้ หากปีหน้าTFEX เปิดเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงทองคำหนัก 10 บาทต่อสัญญา จะกระทบร้านค้าทองคำเร่งปิดกิจการมากขึ้น จากปีนี้ปิดไปแล้วประมาณ 100 แห่ง หลังถือโอกาสขายทำกำไรหลังราคาทองคำขึ้น พร้อมหวั่นอนาคตทำธุรกิจลำบากจากประชาชนหันเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น และคาดราคาปีนี้แกว่ง 1,020-1,085 เหรียญต่อออนซ์ ด้าน“จีที เวลธ์” หวัง 2 เดือนสุดท้ายราคาทองขึ้น หนุนมาร์เกตแชร์โตตามเป้า 6%
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า การที่บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ TFEX จะมีการเพิ่มสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส)ขนาดสัญญาอ้างอิงน้ำหนักทองคำ 10 บาทต่อสัญญา จากปัจจุบันที่มีขนาดสัญญาอ้างอิงทองคำหนัก 50 บาทนั้น เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อร้านขายทองคำแท่ง จนทำให้รายได้จากการขายทองคำแท่งลดลง เพราะเชื่อว่าจะมีนักลงทุนรายย่อยหันไปลงทุนซื้อขายทองคำในโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่ลูกค้าร้านทองหันไปลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สแล้ว30%
ทั้งนี้จะทำให้ปี 2553 มีร้านขายทองคำปิดกิจการมากขึ้น ปัจจุบันที่มีร้านขายทองคำจำนวน 7,000 แห่ง ซึ่งจะเป็นลักษณะที่จะทยอยปิด โดยขณะนี้ที่มีการปิดกิจการไปแล้วประมาณ 100 แห่ง อย่างไรก็ตามการที่ร้านขายทองปิดการนั้นยังมีกำไร ส่วนสาเหตุที่ปิดกิจการเพราะ อนาคตร้านค้าทองจะอยู่ลำบากจากประชาชนจะหันไปเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น จึงถือโอกาสขายทองคำที่ทางร้านมีอยู่ออกมาในช่วงที่ราคาทองคำยังอยู่ในระดับที่สูงและปิดการไป โดยร้านทองที่จะยังคงเปิดกิจการต่อไปได้นั้นจะต้องมีการปรับตัวและทำใจ
“จากการประชุมร่วมกับตลาดอนุพันธ์ในช่วง2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสรุปว่าปีหน้าจะมีการเปิดให้ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงน้ำหนักทองคำ 10 บาท ต่อสัญญา จากปัจจุบันที่น้ำหนัก 50 บาทต่อสัญญา ซึ่งเป็นการเพิ่มสินค้าในโกลด์ฟิวเจอร์สให้มากขึ้น แต่จะส่งผลกระทบต่อร้านขายทองให้มีการปิดกิจการมากขึ้นกว่าปีนี้ที่มีการปิดกิจการไปแล้วประมาณ 100 แห่ง จากที่ลูกค้าหันไปเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น ”นายจิตติ กล่าว
สำหรับก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าจะมีการเสนอให้มีการเปิดซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงราคาทองคำหนัก 1 บาทต่อสัญญา นั้นทางตลาดอนุพันธ์ฯก็มีการออกมาปฏิเสธว่าจะยังไม่มีการเพิ่ม และส่วนตัวมองว่าหากมีการเปิดซื้อขายจริง ก็เหมือนกับเป็นการเร่งให้ร้านขายทองปิดกิจการเร็วมากขึ้น แค่เปิดให้มีการซื้อขายอ้างอิงทองคำหนัก 10 บาทต่อสัญญานั้นยังทำให้ปีหน้า ก็เป็นเรื่องที่หนักแล้วของร้านค้าทองคำแล้ว
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในช่วงสิ้นปีนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในระดับ 1,020-1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,120 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยการเคลื่อนไหวราคาทองคำนั้นจะขึ้นต่อหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ว่าจะไปในทิศทางใด ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงก็จะทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน แต่หากปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,020 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะต้องมีการประเมินใหม่อีกครั้งจากปัจจัยที่เข้ามากระทบ
“เดิมมองราคาทองคำสิ้นปีนี้ 1,065 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ขณะนี้ราคาทองได้มีการปรับฐานลงมาซึ่งมองว่าราคาทองจะแกว่งตัวในกรอบ 1,020 -1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่หากมีการเคลื่อนไหวผิดไปจากกรอบดังกล่าวแล้วจะต้องมีกาประเมินใหม่อีกครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินแนวโน้มราคาทองคำได้ว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะ ปัจจัยที่จะเข้ามากระทบนั้นยังไม่ชัดเจน”นายจิตติ กล่าว
นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า จากปีหน้าตลาดอนุพันธ์จะมีการเพิ่มสินค้าในโกลด์ฟิวเจอร์ส เบื้องต้นอีก 2 สินค้า คือ โกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงทองคำหนัก 10 บาทต่อสัญญา และกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงราคาทองคำนั้น จะทำให้เครื่องมือการลงทุนในทองคำปีหน้าจะครบวงจรมากขึ้น และนักลงทุนจะหันมาลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)โกลด์ฟิวเจอร์สที่ 4% ซึ่งคาดว่าอีก 2 เดือนวอลุ่มการซื้อขายของบริษัทน่าจะมากขึ้น จากทิศทางราคาทองคำน่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้บริษัทมีมาร์เกตแชร์เพิ่มเป็น 6% ตามเป้าหมายได้ โดยหากราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้โบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส ถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามจากการที่ปีหน้าจะมีการเปิดโกลด์ฟิวเจอร์สอิงทองคำน้ำหนัก 10 บาทนั้น ชื่อว่าจะมีร้านทองเข้ามาทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำนักลงทุนให้เข้ามาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สเพิ่มอีกเท่าตัว จากปัจจุบันที่มี 30 แห่ง แต่การที่จะมีร้านค้าทองมาเป็นโบรกเกอร์ในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส เชื่อว่าจะยังคงอยู่ที่ 5 รายเหมือนเดิม เพราะ ร้านทองจะเข้ามาเป็นโบรกเกอร์นั้นจะต้องมีความพร้อมในเรื่องคนและระบบ ส่วนเรื่องการเพิ่มสินค้าโกลด์ ฟิวเจอร์สในน้ำหนัก 1 บาทจ่อสัญญา มองว่าเรื่องดังกล่าวยังเป็นเรื่องในอนาคต และไม่ควรรีบเร่งที่จะเปิดสินค้าออกมาในช่วงนี้ ซึ่งทางสมาคมผู้ค้าทองเองก็มองว่าจะมีผลกระทบกับบรรดาร้านทองแน่
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทองคำ เปิดเผยว่า การที่บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ TFEX จะมีการเพิ่มสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอ้างอิงราคาทองคำ (โกลด์ฟิวเจอร์ส)ขนาดสัญญาอ้างอิงน้ำหนักทองคำ 10 บาทต่อสัญญา จากปัจจุบันที่มีขนาดสัญญาอ้างอิงทองคำหนัก 50 บาทนั้น เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อร้านขายทองคำแท่ง จนทำให้รายได้จากการขายทองคำแท่งลดลง เพราะเชื่อว่าจะมีนักลงทุนรายย่อยหันไปลงทุนซื้อขายทองคำในโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้นเป็น 50% จากปัจจุบันที่ลูกค้าร้านทองหันไปลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สแล้ว30%
ทั้งนี้จะทำให้ปี 2553 มีร้านขายทองคำปิดกิจการมากขึ้น ปัจจุบันที่มีร้านขายทองคำจำนวน 7,000 แห่ง ซึ่งจะเป็นลักษณะที่จะทยอยปิด โดยขณะนี้ที่มีการปิดกิจการไปแล้วประมาณ 100 แห่ง อย่างไรก็ตามการที่ร้านขายทองปิดการนั้นยังมีกำไร ส่วนสาเหตุที่ปิดกิจการเพราะ อนาคตร้านค้าทองจะอยู่ลำบากจากประชาชนจะหันไปเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น จึงถือโอกาสขายทองคำที่ทางร้านมีอยู่ออกมาในช่วงที่ราคาทองคำยังอยู่ในระดับที่สูงและปิดการไป โดยร้านทองที่จะยังคงเปิดกิจการต่อไปได้นั้นจะต้องมีการปรับตัวและทำใจ
“จากการประชุมร่วมกับตลาดอนุพันธ์ในช่วง2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสรุปว่าปีหน้าจะมีการเปิดให้ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงน้ำหนักทองคำ 10 บาท ต่อสัญญา จากปัจจุบันที่น้ำหนัก 50 บาทต่อสัญญา ซึ่งเป็นการเพิ่มสินค้าในโกลด์ฟิวเจอร์สให้มากขึ้น แต่จะส่งผลกระทบต่อร้านขายทองให้มีการปิดกิจการมากขึ้นกว่าปีนี้ที่มีการปิดกิจการไปแล้วประมาณ 100 แห่ง จากที่ลูกค้าหันไปเทรดโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น ”นายจิตติ กล่าว
สำหรับก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าจะมีการเสนอให้มีการเปิดซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงราคาทองคำหนัก 1 บาทต่อสัญญา นั้นทางตลาดอนุพันธ์ฯก็มีการออกมาปฏิเสธว่าจะยังไม่มีการเพิ่ม และส่วนตัวมองว่าหากมีการเปิดซื้อขายจริง ก็เหมือนกับเป็นการเร่งให้ร้านขายทองปิดกิจการเร็วมากขึ้น แค่เปิดให้มีการซื้อขายอ้างอิงทองคำหนัก 10 บาทต่อสัญญานั้นยังทำให้ปีหน้า ก็เป็นเรื่องที่หนักแล้วของร้านค้าทองคำแล้ว
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในช่วงสิ้นปีนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในระดับ 1,020-1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1,120 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยการเคลื่อนไหวราคาทองคำนั้นจะขึ้นต่อหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ว่าจะไปในทิศทางใด ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงก็จะทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน แต่หากปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,020 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะต้องมีการประเมินใหม่อีกครั้งจากปัจจัยที่เข้ามากระทบ
“เดิมมองราคาทองคำสิ้นปีนี้ 1,065 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ขณะนี้ราคาทองได้มีการปรับฐานลงมาซึ่งมองว่าราคาทองจะแกว่งตัวในกรอบ 1,020 -1,085 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่หากมีการเคลื่อนไหวผิดไปจากกรอบดังกล่าวแล้วจะต้องมีกาประเมินใหม่อีกครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินแนวโน้มราคาทองคำได้ว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะ ปัจจัยที่จะเข้ามากระทบนั้นยังไม่ชัดเจน”นายจิตติ กล่าว
นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด กล่าวว่า จากปีหน้าตลาดอนุพันธ์จะมีการเพิ่มสินค้าในโกลด์ฟิวเจอร์ส เบื้องต้นอีก 2 สินค้า คือ โกลด์ฟิวเจอร์สอ้างอิงทองคำหนัก 10 บาทต่อสัญญา และกองทุนอีทีเอฟอ้างอิงราคาทองคำนั้น จะทำให้เครื่องมือการลงทุนในทองคำปีหน้าจะครบวงจรมากขึ้น และนักลงทุนจะหันมาลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)โกลด์ฟิวเจอร์สที่ 4% ซึ่งคาดว่าอีก 2 เดือนวอลุ่มการซื้อขายของบริษัทน่าจะมากขึ้น จากทิศทางราคาทองคำน่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้บริษัทมีมาร์เกตแชร์เพิ่มเป็น 6% ตามเป้าหมายได้ โดยหากราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้โบรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส ถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามจากการที่ปีหน้าจะมีการเปิดโกลด์ฟิวเจอร์สอิงทองคำน้ำหนัก 10 บาทนั้น ชื่อว่าจะมีร้านทองเข้ามาทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำนักลงทุนให้เข้ามาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สเพิ่มอีกเท่าตัว จากปัจจุบันที่มี 30 แห่ง แต่การที่จะมีร้านค้าทองมาเป็นโบรกเกอร์ในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส เชื่อว่าจะยังคงอยู่ที่ 5 รายเหมือนเดิม เพราะ ร้านทองจะเข้ามาเป็นโบรกเกอร์นั้นจะต้องมีความพร้อมในเรื่องคนและระบบ ส่วนเรื่องการเพิ่มสินค้าโกลด์ ฟิวเจอร์สในน้ำหนัก 1 บาทจ่อสัญญา มองว่าเรื่องดังกล่าวยังเป็นเรื่องในอนาคต และไม่ควรรีบเร่งที่จะเปิดสินค้าออกมาในช่วงนี้ ซึ่งทางสมาคมผู้ค้าทองเองก็มองว่าจะมีผลกระทบกับบรรดาร้านทองแน่