xs
xsm
sm
md
lg

ทองมีโอกาสทะลุ 16,400 บ.เซียนชี้สิ้นปีนี้ได้เห็นนิวไฮ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

3 เดือนสุดท้ายทองคำมีลุ้นทะลุ 16,400 บาท กูรูเชื่อมั่นหลายปัจจัยสนับสนุนทั้ง เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยต่ำ ดอลลาร์อ่อน ดันเฮดจ์ฟันด์ปรับพอร์ตถือทองเพิ่ม ชี้ นิวไฮปีก่อน 1,032 เหรียญ/ออนซ์ มีโอกาสโดนทุบสถิติ ส่วนโกลด์ฟิวเจอร์ส 8 เดือน เติบโตต่อเนื่อง โบรกฯร้านทองเริ่มเบียดแชร์บล. สัดส่วนซื้อขายเหลือ 50:50 เท่ากัน ด้าน “เอ็มทีเอส” คุยฐานลูกค้าโต ดันมาร์เกตแชร์พุ่ง

นายแพทย์ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทแม่ทองสุก เปิดเผยว่า สถานการณ์ของราคาทองคำในช่วงนี้ ค่อนข้างมีการแกว่งตัวในแนวโน้มขาขึ้นจากต้นปีซึ่งอยู่ที่ 870 เหรียญ/ออนซ์ ก็ปรับตัวขึ้นมาที่ 1,006 เหรียญ/ออนซ์ เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก่อนจะปรับตัวขึ้นอีกครั้งเป็น 1,018 เหรียญ/ออนซ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม และมีทีท่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุนิวไฮซ์เดิมเมื่อมีนาคมปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ 1,032 เหรียญ/ออนซ์ในเร็วนี้ และน่าจะสร้างนิวไฮซ์ใหม่ได้ที่ประมาณ 1,050 เหรียญ/ออนซ์ หรือคิดเป็นทองคำบาทละ 16,400 บาท

“ตั้งแต่ต้นปีจนถึงในขณะนี้ ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นถึง 148 เหรียญสหรัฐฯต่อออนซ์ หรือคิดเป็น 17% แล้ว”

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้ว่าจะเริ่มมีทิศทางที่ฟื้นขึ้น แต่ยังไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมามากนัก จึงส่งผลต่อทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯให้มีแนวโน้มจะปรับตัวลงอีก และเป็นสาเหตุให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเริ่มถือทองคำแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯไว้มากขึ้น เช่นเดียวกับบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ปรับลดการถือดอลลาร์และเพิ่มการลงทุนในทองคำแทน

ดังนั้น จึงมองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังราคาทองคำยังแกว่งตัวอยู่ในทิศทางขอขึ้น จากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ การแข็งค่าของค่าเงินบาท กองทุนเอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำรายใหญ่สุดของโลก ได้เพิ่มการถือครองทองคำขึ้นถึง 15.26 ตัน มาอยู่ที่ 1,101.73 ตัน ขณะเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เตรียมที่จะเทขายทองคำออกมา ซึ่งจีนก็เสนอตัว พร้อมที่จะซื้อทองคำไว้แทนเงินดอลลาร์ฯ ปัจจัยต่อมาคือ มีความเป็นได้สูงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ และปัจจัยสุดท้ายคือเงินเฟ้อที่เริ่มส่งสัญญาณเพิ่มขึ้น

“จากปัยจัยดังกล่าว ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นไปอีกในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1,050 เหรียญฯต่อออนซ์ ของปีนี้ และทำให้ราคาทองคำแท่งในบ้านเราปรับขึ้นมาอยู่ที่ ระดับบาทละ 16,400 บาท”

สำหรับภาวะตลาดซื้อขายล่วงหน้า หรือ โกล์ฟิวเจอร์สนั้น ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สัญญาการซื้อขายมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก โดยช่วงเริ่มต้นนั้น อยู่ที่ประมาณ 200 สัญญา/วัน แต่ขณะนี้ มีการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 800-900 สัญญา/วัน และในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามี ส่วนแบ่งการตลาดของ 5 โบรกเกอร์ร้านทองคำรวมกันอยู่ที่ 50% ของตลาดทั้งหมดจากเดิมที่โบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ครองส่วนแบ่งถึง 80% ในช่วงแรก

โดยสาเหตุที่ เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส มีส่วนบ่งการตลาดที่โตขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้นั้น เพราะมีการให้บริการที่สะดวกแก่นักลงทุน ด้วยการซื้อขายผ่าน อินเตอร์เน็ท และการซื้อขายผ่านโทรศัพท์ และที่สำคัญบริษัทเน้นการให้ความรู้แก่นักลงทุนและผู้ที่สนใจมาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าเปิดบัญชีกับบริษัท 600 บัญชี และเป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหว 300-400 บัญชี ซึ่งการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ตั้งแต่ 1-10 สัญญาต่อราย

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่มีแนวคิดที่จะขยายสาขาของเอ็มทีเอส ออกไป เนื่องจากมองว่าต้องใช้เงินทุนมากขึ้น แต่จะใช้วิธีเพิ่มเซลลิงก์เอเจนท์ให้มากขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ที่ 10 ราย แต่ภายในเดือนตุลาคมนี้จะมีเพิ่มเข้ามาอีก 11 ราย รวม 21 ราย และจะเดินหน้าเพิ่มตัวแทนขายไปอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังแนะนำนักลงทุนถึงการลงทุนในทองคำด้วยว่า หากยอมรับความเสี่ยงได้สูง ควรลงทุนใน โกล์ฟิวเจอร์ส ในสัดส่วนที่มาก แต่หากต้องการลงทุนในระยะยาวให้ลงทุนในทองคำแท่ง แต่สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด คือ ลงทุนในทองคำแท่ง 80% และลงทุนใน โกล์ฟิวเจอร์ส เพียง 20% เท่านั้น

ขณะเดียวกัน ยังกล่าวด้วยว่า การซื้อขายทองคำล่วงหน้ายังมีไม่มากพอ เนื่องจากนักลงทุนในยังไม่เข้าถึงการลงทุนในโกลด์ ฟิวเจอร์สมากนัก ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ลงทุนออกไปให้มากขึ้น ส่วนทางบริษัทยังต้องการให้มีการให้ความรู้แก่นักลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม โดยเริ่มจากในกรุงเทพฯและออกไปที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น