“อภิสิทธิ์”ให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณเป็นบวก จีดีพีทั้งปีติดลบเพียงร้อยละ 3 ตลาดหลักทรัพย์ฯคุยฟุ้ง ต่างชาติบางส่วนกลับมาลงทุนแล้ว และมีแนวโน้มขนเงินเข้าไทยมากขึ้น ขณะที่สมาคมนักวิเคราะห์เข้าพบ “กรณ์” มั่นใจไทยเข้มแข็งหนุนเอกชนลงทุน เศรษฐกิจฟื้นเพียงปานกลาง หวั่นการเมืองทำพิษ เปลี่ยนรัฐบาลใหม่อาจสะดุด ชูหุ้นรับเหมาก่อสร้างได้ประโยชน์สูงสุด ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นเตือนหากแตะถึง 760 จุดระวังแรงเทขาย คาดรอบนี้มีคนรวยหุ้นเพียงข้ามคืนถึงแสนราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) จากสหรัฐฯมาประเทศไทยว่านักลงทุนและนักธุรกิจชาวสหรัฐฯทั้งสองส่วนนั้นมีความประทับใจประเทศไทยอยู่แล้วเพราะเคยเข้ามาลงทุน และจัดกิจกรรมในไทย โดยส่วนใหญ่ได้สอบถามนโยบายของรัฐบาลและมองว่าแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จะทำให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจและการลงทุนได้โดยเฉพาะทางด้านสินค้าเกษตร
ส่วนตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(เอดีบี)ออกมาระบุว่าการเจริญเติบโตของไทย ต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น ตนไม่เห็นตัวเลข เพราะก่อนหน้าที่จะแถลงผลงานในรอบ 6 เดือน เคยเอาตัวเลขการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมาดูโดยเทียบเคียงกับบางประเทศ เช่นสิงคโปร์ พบว่า จริงๆแล้วไม่แตกต่างกันมากนัก บางประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเปิดอย่างสิงคโปร์ช่วงที่ตกต่ำจะตกต่ำกว่าเราเยอะ
เมื่อถามว่า จากการไปสหรัฐฯครั้งนี้และนักธุรกิจห่วงใยสถานการณ์ในประเทศของเรามากน้อยแค่ไหน และนายกฯได้ให้ความเชื่อมั่นกับเขาอย่างไร รวมทั้งจุดขายที่นายกฯนำไปคุยกับนักธุรกิจคืออะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จริงๆความห่วงใยเป็นเรื่องปกติ ต้องคำนึงถึงภาพข่าวที่เขาเห็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพการเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ฉะนั้นสิ่งที่เราชี้แจงคือ เราได้แก้ไขปัญหาอย่างทันสถานการณ์ ต้องถือว่าขณะนี้สภาวะการเมืองไทยมีความสงบมากขึ้น ขณะเดียวกันได้อธิบายให้ทราบถึงแนวทางของรัฐบาลทั้งวิธีการทำงาน ซึ่งยึดหลักประชาธิปไตย ให้ความสำคัญกับกระบวนการรัฐสภา การรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และมีความคืบหน้าการทำงานด้านการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งสภาเข้ามามีบทบาทด้วย ทั้งหมดเราพูดความจริงกับเขา เราชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เรามีแนวทางอย่างไร ซึ่งคิดว่าเป็นแนวทางที่เขาเข้าใจ และสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย
“ขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเศรษฐกิจโลก ที่ฟื้นตัว เริ่มเห็นผลโดยเห็นได้จาก เศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตรายไตรมาสถึงร้อยละ 12 จากไตรมาสที่ 1 ถึงไตรมาสที่ 2 ฉุดให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากสภาวะถดถอย ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ได้รายงานว่า มีสัญญาณในเชิงบวก อาทิ อัตราว่างงานที่ลดลง และการเพิ่มสูงของสัญญาณต่างๆ ทั้ง ปริมาณสินค้าส่งออก การใช้สาธารณูปโภคการนำเข้าวัตถุดิบและส่วนประกอบรวมทั้ง การลงทุนจากภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแสดงให้เห็นการพัฒนาการที่ดีขึ้นตลอดระยะเวลา 3 เดือนต่อเนื่องมา ดังนั้น เชื่อว่า จีดีพีของไทยจะปรับตัวเติบโตขึ้นภายในไตรมาสที่ 4 ส่งผลให้จีดีพีตลอดปีติบลบเพียงร้อยละ 3-3.5 เช่นเดียวกับประเทศอาเซียน”นายกฯ กล่าว
**ตลท.ปลื้มต่างชาติเล็งใส่เงินเพิ่ม
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ในงาน Investor Forum ซึ่งธนาคาร UBS เป็นเจ้าภาพงาน นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวกับผู้ลงทุนต่างชาติกว่า 60 ราย จาก 25 กองทุนและบริษัทหลักทรัพย์ที่เข้าร่วมงานซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการโดยรวมสูงกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท) ว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน รัฐบาลจึงต้องเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยต่อไป โดยเน้นว่าอยากเห็นไทยเป็น smart investor choice หรือประเทศที่นักลงทุนเลือก ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการทั้งด้านนโยบาย และแผนปฏิบัติการอื่น ๆ ที่สำคัญเพื่อประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกต่อการลงทุน
ทั้งนี้ จากการพบกับผู้ลงทุนในนิวยอร์กครั้งนี้ ได้รับทราบว่าผู้ลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และส่วนหนึ่งก็ได้กลับเข้ามาลงทุนแล้วในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่ามีแนวโน้มที่จะนำเงินกลับเข้ามาในไทยมากขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น
**นักวิเคราะห์เชื่อมั่นไทยเข้มแข็ง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ กล่าวว่า สมาคมนักวิเคราะห์ได้มีการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์จากการที่เข้าพบนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการรับฟังข้อมูลแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555เพื่อสอบถามระดับความมั่นใจของนักวิเคราะห์ที่มีเรื่องดังกล่าว โดยมีนักวิเคราะห์ตอบแบบสอบถามจำนวน 23 คน จากที่เข้ารับฟังข้อมูลจำนวน 40 คน
โดยประเด็นในการสอบถามความมั่นใจ 6 ข้อ คือ 1.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถสร้างความชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีผู้ตอบ 65% มั่นใจปานกลาง อีก 35% มั่นใจมาก 2. ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจ โดยมีนักวิเคราะห์ตอบมั่นใจปานกลาง 78% อีก 22% ตอบมั่นใจมาก 3.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งช่วยให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น มีผู้ตอบ 57% มั่นใจปานกลาง อีก 13%ตอบมั่นใจมาก 22% ตอบมั่นใจน้อย อีก 9% ตอบไม่มั่นใจ
4.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถดำเนินการตามแผนได้จนถึงปี 2555 ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ 48% มั่นใจปานกลาง 43% มั่นใจน้อย 4% มั่นใจมาก 4%ไม่มั่นใจ 5.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถระดมทุนเงินทุนได้ตามแผน มีผู้ตอบ 52%มั่นใจปานกลาง 43% มั่นใจมาก และอีก 4% ตอบไม่ใจจ้อย
อย่างไรจากการประเมินความมั่นใจโดยรวมต่อปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบว่า นักวิเคราะห์ 91% มั่นใจปานกลาง อีก 9% มั่นใจมาก
“ภาพรวมนักวิเคราะห์หลังจากได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวพบว่ามีความมั่นใจมากเพียง9% เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังเป็นปัจจัยที่กดดัน ที่สำคัญสุดที่จะทำให้โครงการนี้สะดุด หรือไม่สามารถเดินต่อไป โดยมี 48%โครงการนี้จะเดินหน้าต่อไปแม้เปลี่ยนรัฐบาล ”นายสมบัติ กล่าว
ขณะเดียวกันหลังจากเข้าพบรัฐมนตรีคลัง มีนักวิเคราะห์บางรายจะมีการปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจปีหน้า เพิ่มอีก 1% จากประมาณการเดิม ส่วนหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากปฏิบัติการนี้ มากที่สุด คือ หุ้นกลุ่มรับเหมา และวัสดุก่อสร้างบางบริษัท แต่จากการที่ราคาหุ้นของหลายบริษัทในกลุ่มได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นของหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเกินมูลค่า
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 90% จากจุดต่ำสุดเดิม384.15 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 760 จุด นักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวัง เพราะดัชนีจะมีการปรับตัวลดแรงจากการขายทำกำไร หลังปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันนานกว่า6 เดือน
“หากในอีก 2-3 เดือนหุ้นยังไม่ตก จะทำให้มีคนเล่นหุ้นระดับกลางรวยขึ้น 1 แสนคน ซึ่งจะทำให้มีการนำเงินไปจองรถ บ้านมากขึ้น แต่นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะยังมีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจทรุดตัวอยู่”นายสมบัติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) จากสหรัฐฯมาประเทศไทยว่านักลงทุนและนักธุรกิจชาวสหรัฐฯทั้งสองส่วนนั้นมีความประทับใจประเทศไทยอยู่แล้วเพราะเคยเข้ามาลงทุน และจัดกิจกรรมในไทย โดยส่วนใหญ่ได้สอบถามนโยบายของรัฐบาลและมองว่าแผน ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง จะทำให้เกิดโอกาสในการขยายธุรกิจและการลงทุนได้โดยเฉพาะทางด้านสินค้าเกษตร
ส่วนตัวเลขอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(เอดีบี)ออกมาระบุว่าการเจริญเติบโตของไทย ต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น ตนไม่เห็นตัวเลข เพราะก่อนหน้าที่จะแถลงผลงานในรอบ 6 เดือน เคยเอาตัวเลขการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยมาดูโดยเทียบเคียงกับบางประเทศ เช่นสิงคโปร์ พบว่า จริงๆแล้วไม่แตกต่างกันมากนัก บางประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเปิดอย่างสิงคโปร์ช่วงที่ตกต่ำจะตกต่ำกว่าเราเยอะ
เมื่อถามว่า จากการไปสหรัฐฯครั้งนี้และนักธุรกิจห่วงใยสถานการณ์ในประเทศของเรามากน้อยแค่ไหน และนายกฯได้ให้ความเชื่อมั่นกับเขาอย่างไร รวมทั้งจุดขายที่นายกฯนำไปคุยกับนักธุรกิจคืออะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จริงๆความห่วงใยเป็นเรื่องปกติ ต้องคำนึงถึงภาพข่าวที่เขาเห็น ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพการเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ฉะนั้นสิ่งที่เราชี้แจงคือ เราได้แก้ไขปัญหาอย่างทันสถานการณ์ ต้องถือว่าขณะนี้สภาวะการเมืองไทยมีความสงบมากขึ้น ขณะเดียวกันได้อธิบายให้ทราบถึงแนวทางของรัฐบาลทั้งวิธีการทำงาน ซึ่งยึดหลักประชาธิปไตย ให้ความสำคัญกับกระบวนการรัฐสภา การรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และมีความคืบหน้าการทำงานด้านการปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งสภาเข้ามามีบทบาทด้วย ทั้งหมดเราพูดความจริงกับเขา เราชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เรามีแนวทางอย่างไร ซึ่งคิดว่าเป็นแนวทางที่เขาเข้าใจ และสอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย
“ขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเศรษฐกิจโลก ที่ฟื้นตัว เริ่มเห็นผลโดยเห็นได้จาก เศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตรายไตรมาสถึงร้อยละ 12 จากไตรมาสที่ 1 ถึงไตรมาสที่ 2 ฉุดให้เศรษฐกิจหลุดพ้นจากสภาวะถดถอย ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ได้รายงานว่า มีสัญญาณในเชิงบวก อาทิ อัตราว่างงานที่ลดลง และการเพิ่มสูงของสัญญาณต่างๆ ทั้ง ปริมาณสินค้าส่งออก การใช้สาธารณูปโภคการนำเข้าวัตถุดิบและส่วนประกอบรวมทั้ง การลงทุนจากภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแสดงให้เห็นการพัฒนาการที่ดีขึ้นตลอดระยะเวลา 3 เดือนต่อเนื่องมา ดังนั้น เชื่อว่า จีดีพีของไทยจะปรับตัวเติบโตขึ้นภายในไตรมาสที่ 4 ส่งผลให้จีดีพีตลอดปีติบลบเพียงร้อยละ 3-3.5 เช่นเดียวกับประเทศอาเซียน”นายกฯ กล่าว
**ตลท.ปลื้มต่างชาติเล็งใส่เงินเพิ่ม
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ในงาน Investor Forum ซึ่งธนาคาร UBS เป็นเจ้าภาพงาน นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวกับผู้ลงทุนต่างชาติกว่า 60 ราย จาก 25 กองทุนและบริษัทหลักทรัพย์ที่เข้าร่วมงานซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการโดยรวมสูงกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท) ว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน รัฐบาลจึงต้องเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยต่อไป โดยเน้นว่าอยากเห็นไทยเป็น smart investor choice หรือประเทศที่นักลงทุนเลือก ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการทั้งด้านนโยบาย และแผนปฏิบัติการอื่น ๆ ที่สำคัญเพื่อประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกต่อการลงทุน
ทั้งนี้ จากการพบกับผู้ลงทุนในนิวยอร์กครั้งนี้ ได้รับทราบว่าผู้ลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และส่วนหนึ่งก็ได้กลับเข้ามาลงทุนแล้วในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่ามีแนวโน้มที่จะนำเงินกลับเข้ามาในไทยมากขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น
**นักวิเคราะห์เชื่อมั่นไทยเข้มแข็ง
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ กล่าวว่า สมาคมนักวิเคราะห์ได้มีการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์จากการที่เข้าพบนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการรับฟังข้อมูลแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555เพื่อสอบถามระดับความมั่นใจของนักวิเคราะห์ที่มีเรื่องดังกล่าว โดยมีนักวิเคราะห์ตอบแบบสอบถามจำนวน 23 คน จากที่เข้ารับฟังข้อมูลจำนวน 40 คน
โดยประเด็นในการสอบถามความมั่นใจ 6 ข้อ คือ 1.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถสร้างความชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งมีผู้ตอบ 65% มั่นใจปานกลาง อีก 35% มั่นใจมาก 2. ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในระดับที่น่าพอใจ โดยมีนักวิเคราะห์ตอบมั่นใจปานกลาง 78% อีก 22% ตอบมั่นใจมาก 3.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งช่วยให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น มีผู้ตอบ 57% มั่นใจปานกลาง อีก 13%ตอบมั่นใจมาก 22% ตอบมั่นใจน้อย อีก 9% ตอบไม่มั่นใจ
4.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถดำเนินการตามแผนได้จนถึงปี 2555 ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ 48% มั่นใจปานกลาง 43% มั่นใจน้อย 4% มั่นใจมาก 4%ไม่มั่นใจ 5.ปฏิบัติการไทยเข้มแข็งสามารถระดมทุนเงินทุนได้ตามแผน มีผู้ตอบ 52%มั่นใจปานกลาง 43% มั่นใจมาก และอีก 4% ตอบไม่ใจจ้อย
อย่างไรจากการประเมินความมั่นใจโดยรวมต่อปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบว่า นักวิเคราะห์ 91% มั่นใจปานกลาง อีก 9% มั่นใจมาก
“ภาพรวมนักวิเคราะห์หลังจากได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวพบว่ามีความมั่นใจมากเพียง9% เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังเป็นปัจจัยที่กดดัน ที่สำคัญสุดที่จะทำให้โครงการนี้สะดุด หรือไม่สามารถเดินต่อไป โดยมี 48%โครงการนี้จะเดินหน้าต่อไปแม้เปลี่ยนรัฐบาล ”นายสมบัติ กล่าว
ขณะเดียวกันหลังจากเข้าพบรัฐมนตรีคลัง มีนักวิเคราะห์บางรายจะมีการปรับเป้าการเติบโตเศรษฐกิจปีหน้า เพิ่มอีก 1% จากประมาณการเดิม ส่วนหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากปฏิบัติการนี้ มากที่สุด คือ หุ้นกลุ่มรับเหมา และวัสดุก่อสร้างบางบริษัท แต่จากการที่ราคาหุ้นของหลายบริษัทในกลุ่มได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นของหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเกินมูลค่า
ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 90% จากจุดต่ำสุดเดิม384.15 จุด ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 760 จุด นักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวัง เพราะดัชนีจะมีการปรับตัวลดแรงจากการขายทำกำไร หลังปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันนานกว่า6 เดือน
“หากในอีก 2-3 เดือนหุ้นยังไม่ตก จะทำให้มีคนเล่นหุ้นระดับกลางรวยขึ้น 1 แสนคน ซึ่งจะทำให้มีการนำเงินไปจองรถ บ้านมากขึ้น แต่นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะยังมีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจทรุดตัวอยู่”นายสมบัติ กล่าว