xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรูดต่อ แหยงหุ่นเชิดพังเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักลงทุนไทยชะลอซื้อขายหุ้น หลังเจอสารพัดปัจจัยลบรุมถล่มตลาดหุ้นไทย ทั้งปัญหา "สมัคร" จะกลับเข้ามานั่งตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง ส่งผลให้การเมืองเจอทางตัน บวกกับวิกฤตภาคการเงินสหรัฐฯ ส่อเค้าปะทุรอบใหม่ กดดันต่างชาติขายสุทธิอีกพันล้านบาท ดัชนีรูด 8 จุด ด้าน บล.กสิกรไทย มั่นใจดัชนีตลาดหุ้นรูดได้อีกไม่เกิน 10% ระบุไทยสูญเสียรายได้เฉียด 3 ล้าน จีดีพีต่ำสุดถึง 3.6% หากการเมืองยืดเยื้อถึงสิ้นปี ขณะที่โบรกเกอร์ สั่งจับตาการเมืองใกล้ชิด คาดตลาดหุ้นผันผวนต่อ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง โดยมีปัจจัยหลักทั้งการเมืองภายในประเทศ ที่นักลงทุนจับตาบุคคลเหมาะสมที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกังวลว่าพรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุนนายสมัคร สุนทรเวช กลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การเมืองเจอทางตัน จนส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ นั้น ยังคงเป็นปัญหาเรื่องสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่มีผลกระทบต่อภาคการเงินในสหรัฐฯ ล่าสุดยักษ์ใหญ่วาณิชธนกิจของสหรัฐฯ เลห์แมน บราเธอร์ส จะประกาศงบการเงินเร็วกว่ากำหนด ดังนั้นจึงต้องรอดูผลการดำเนินงานว่าจะเป็นไปที่มีการคาดการณ์ไว้หรือไม่ รวมถึงกระแสข่าวลือว่าบริษัทจะไม่สามารถระดมทุนได้เร็วๆ นี้ จนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนทั่วโลก

โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 654.09 จุด สูงสุดที่ 660.39 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 655.54 จุด ลดลงจากวันก่อนถึง 8.07 จุด หรือคิดเป็น 1.22% มูลค่าการซื้อขายรวม 8,920.64 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิ 1,003.72 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 311.62 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,315.33 ล้านบาท

นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาจำนวนมาก จากปัญหาเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง แต่คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงได้อีกไม่เกิน 10% ในทางกลับกันหากปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ก็คงไม่มากนัก หลังจากปัญหาการเมืองเริ่มคลี่คลาย เพราะนักลงทุนยังคงกังวลปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ

"แม้ปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลายตลาดหุ้นไทยคงปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก เพราะนักลงทุนยังกังวลถึงปัญหาภาคการเงินในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศถือเงินสดไว้ ไม่มีการลงทุน เนื่องจากต้องการรักษาสภาพคล่องไว้ โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง คือ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมามียอดขายสุทธิแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท"

นายรพี กล่าวต่อว่า เมื่อนักลงทุนไม่มีการลงทุนจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวตามไปด้วย โดยบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะคลี่คลายและได้ข้อยุติในไตรมาส2/52 ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หากปัญหาทางการเมืองสามารถได้ยุติภายในเดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะสูญเสียรายได้รวมจำนวน 49,000 ล้านบาท แต่หากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อไปจนถึงสิ้นปีนี้ประเทศจะสูญเสียรายได้รวมกว่า 2.95 แสนล้านบาท และส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจปีนี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3.6-5% ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ที่โต 5.7%

สำหรับการที่เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัวนั้นส่งผลให้การเติบโตของยอดส่งออกปี 2552 ลดลงประมาณ 50% จากเป้าหมายที่ระดับ 17% ในปีนี้ โดยบริษัทคาดว่าค่าเงินบาทสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 34 บาท รวมทั้งคาดการณ์ในปีนี้จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก เพราะระดับ 3.75% ถือว่าสูงสุดแล้ว

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย คาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงจากปัจจัยลบต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่คงจะไม่ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 610-630 จุด หรือลดลงจากระดับปัจจุบันอีกประมาณ 5-6% และคาดดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 740 จุด ค่า P/E ระดับ 8.5 เท่า ภายใต้ภาวการณ์ปกติ โดยแนะนำการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีมูลค่าตามบัญชี (Book Value) ต่ำ สภาพคล่องเงินสุดสูง และอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ระดับต่ำ เช่น หุ้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์

พร้อมกันนี้ ยังแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มกลุ่มธนาคาร โรงพยาบาล โรงแรม ขณะเดียวกันนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ยกเว้นหุ้นถ่านหินที่ยังคงมีความน่าสนใจลงทุน

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนลบ และมูลค่าการซื้อขายไม่คึกคักมากนัก โดยเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีรูดลงกว่า 4 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนปิดตลาดที่ 655.54 จุด

โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุน จากปัจจัยสถานการณ์ทางเมืองที่ยังไม่มีทิศทางแน่นอน แม้ว่านายสมัคร สุนทรเวช จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ยังไม่มีความแน่นอนว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือนายสมัครจะกลับมาเป็นนายกอีก รวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียได้ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (11 ก.ย.) คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนยังคงชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งนักลงทุนเองต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยให้แนวรับที่ 650 จุด แนวต้านที่ 660 จุด โดยหุ้นที่น่าลงทุนได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงเกิดจากปัจจัยด้านการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน เกี่ยวกับบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทนนายสมัคร สุนทรเวช รวมถึงปัจจัยลบจากต่างประเทศ อาทิ ตลาดหุ้นเอเชีย และราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง กดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP, BANPU และกลุ่มธนาคาร KBANK, SCB

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยให้แนวรับที่ 642-648 จุด และแนวต้าน 670 จุด และบรรยากาศการซื้อขายคงจะเงียบเหงา มูลค่าการซื้อขายไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยที่จะส่งผลทิศทางของตลาดในเอเชีย และทิศทางของราคาน้ำมัน รวมถึงติดตามสถานการณ์ทางเมืองอย่างใกล้ชิดว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น